กองทัพที่มีกำลังรบมากที่สุด นำโดย ‘บิ๊กแดง’ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้เริ่มงานแรกด้วยการประชุมสำนักงานเลขาธิการ คสช. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ที่ควบตำแหน่ง ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ก็ได้มอบนโยบายสำคัญในการเตรียมการช่วงเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นช่วงต้นปี2562 ได้กำชับให้ กกล.รส. ทำความเข้าใจคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ได้ ‘คลายล็อกพรรค’ และแนวทางปฏิบัติต่างๆของกกต. พร้อมทั้งสานงานของ คสช. ที่ทำมาตลอด 4 ปี โดยอาจมีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมตามสถานการณ์ หลัง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีตผบ.ทบ. เคยวางกรอบการทำงานไว้ว่าอาจมีการลดการใช้กำลัง กกล.รส. ลง ในช่วงการเลือกตั้ง เพื่อระมัดระวังไม่ให้เกิดคำครหาขึ้นหากถูกโยงเรื่องทางการเมืองขึ้น
ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ได้แบ่งงาน 5 เสือทบ. โดยให้ ‘บิ๊กตี๋’พล.อ.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผู้ช่วยผบ.ทบ. คนที่1 ตท.18 เกษียณฯปี62 คุมสายงานส่งกำลังบำรุง สายงานกิจการพลเรือน ‘บิ๊กตู่เล็ก’พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้ช่วยผบ.ทบ. คนที่ 2 เพื่อนตท.20 เกษียณฯปี63พร้อมกัน คุมสายงานกำลังพล และ ‘บิ๊กเป้ง’พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสธ.ทบ. ตท.19 สายยุทธการ คุมสายงานการข่าวและกิจการต่างประเทศ สายงานยุทธการ การฝึกและศึกษาทางทหาร สายงานปลัดบัญชี โดยมี ‘บิ๊กเล็ก’พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผบ.ทบ. เพื่อนตท.20 เกษียณฯปี64 ที่เติบโตสายยุทธการ เป็นขุนศึกข้างกาย พล.อ.อภิรัชต์ ที่ดูแลในภาพรวมงาน ทบ. ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พล.อ.อภิรัชต์ มีกำหนดมอบนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติงานต่อผู้บังคับหน่วยทั่วประเทศ ในการประชุมหน่วยขึ้นตรง ทบ. วันที่ 17ต.ค.นี้ และจะให้สัมภาษณ์สื่อครั้งแรกด้วย
“ทุกภารกิจ ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และจะไม่ยอมให้มีการทุจริต หรือเอาเปรียบประชาชนในทุกด้าน” ม็อตโต้ ของ พล.อ.อภิรัชต์
(พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์)
ส่วนกองทัพเรือ ‘บิ๊กลือ’พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ได้มอบนโยบาย ทร.กว่า 2 ชั่วโมง พร้อมเปิดแผนปฏิบัติการ “สองฝั่งมหาสมุทรและสามพื้นที่ปฏิบัติการ” หรือ Two Oceans and Three Areas พร้อมทั้งสร้าง “สปิริต นักรบชาวเรือ” หรือ Navy Warrior of Spirit ขึ้น
ทั้งนี้ ทบ. ยุค พล.อ.อภิรัชต์ มีโครงการ Smart Soldier Strong Army ที่ปรับมาจากยุค พล.อ.เฉลิมชัย ที่มีการทดสอบร่างกายและภาษาอังกฤษผู้บังคับกองพันและผู้การกรม โดยมีเกณฑ์ของกองทัพบก ทั้งการดันพื้น ลุกนั่ง 2 นาที และวิ่ง 2 กิโลเมตร
แต่ในส่วนของ ทร. ยุค พล.ร.อ.ลือชัย จะมีการจัดโครงการ “จากพื้นทะเลสู่ภูผา จากฟากฟ้าสู่มหานที เดอะซีรีย์” แบ่งเป็น 5ตอน เพื่อสร้าง ‘นักรบชาวเรือ’ ฝึกการสร้างร่างกายที่สมบูรณ์ โดยครั้งแรกช่วง ธ.ค.61-ม.ค.62 เริ่มต้นที่ ฐานทัพเรือสัตหีบ - นรข.เชียงราย – ฐานทัพเรือภาค 2 จ.สงขลา แหลมสมิหลา –ฐานทัพเรือภาค 3 จ.ภูเก็ต แหลมพันวา และ อ่าวเตยงาม บก.นาวิกโยธิน ในครั้งสุดท้าย ซึ่งจะตรงกับช่วง ส.ค.62 โดยจัดให้มีการแข่ง ‘ไตรกีฬาแบบมาตรฐาน’ คือ ว่ายน้ำ 1.5 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 40 กิโลเมตร และวิ่ง 10 กิโลเมตร
(พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์)
ซึ่ง พล.ร.อ.ลือชัย ระบุว่า การฝึกนี้ไม่เกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลงานหรือการปรับย้ายตำแหน่ง แต่ตนต้องการให้กำลังพลดูแลตัวเอง ให้ร่างกายมีความแข็งแกร่ง ตามนโยบายที่ว่า “จิตใจที่เข้มแข็งและดีงาม ล้วนอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการเป็นทหารในการฝึกรับผิดชอบตนเอง เป็นแบบอย่างกับผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมเปรียบเทียบว่าแม้แต่ดารานักแสดงทั่วไปยังแข่งวิ่งมาราธอนเลย ดังนั้นในความเป็นทหารจึงต้องทำให้ได้มากกว่า
ทั้งนี้ พล.ร.อ.ลือชัย เป็นนักวิ่งมาราธอนและไตรกีฬาด้วย โดยสมัยเป็นนายทหารหนุ่มๆ เคยเข้าฝึกหลักสูตรหน่วยซีลด้วย แต่ต้องออกจากการฝึกเพราะมีปัญหาเรื่องหูจากการฝึกดำน้ำ
พร้อมมีม็อตโต้ที่ว่า “Stop the Past, Start the New. หยุดสิ่งร้ายในอดีต เริ่มสิ่งที่ดีงามเพื่อความวัฒนาถาวร” ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยในรั้ว ทร.
ด้านกองทัพอากาศ ‘บิ๊กต่าย’พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. เป็น ผบ.เหล่าทัพคนแรก ที่ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยจะสานต่อยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในยุทธศาสตร์มิติไซเบอร์และกิจการอวกาศ พร้อมพัฒนาบุคลากรของกองทัพอากาศให้มีความเป็นจิตอาสาและมุ่งมั่นทำความดี รวมทั้งมีระเบียบวินัยทหาร พร้อมสนับสนุนงานรัฐบาลและคสช. ซึ่งที่ผ่านมา คสช. มีกรอบการทำงานที่ดีอยู่แล้ว แต่ตนจะต้องศึกษาการทำงานเพิ่มเติม เพราะยังมีความใหม่ในการทำงาน
พร้อมมีม็อตโต้ในการทำงาน คือ “ผู้นำ นักรบ นักการทหาร” และ “มุ่งมั่น มั่นคง มั่นใจ”
(พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน)
ในส่วน บก.กองทัพไทย ‘บิ๊กกบ’ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.สูงสุด ได้ฟื้นให้มีการจัดประชุม “คณะผู้บัญชาการทางทหาร“ ขึ้นทุก 2 เดือน ก่อนประชุม ผบ.เหล่าทัพ ทุกครั้ง โดยมี ผบ.สูงสุด นำประชุม ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. และ เสธ.ทหาร ร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา “คณะผู้บัญชาการทางทหาร“จะประชุมแค่ช่วงการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารและช่วงมีเหตุการณ์วิกฤตเท่านั้น
พร้อมกำชับภารกิจสำคัญของ บก.กองทัพไทย คือ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ พล.อ.พรพิพัฒน์ ได้สั่งการให้สนับสนุนการแข่งขัน “ราชวัลลภเริงระบำ” และ กองทหารเกียรติยศ โครงการจิตอาสาพระราชทาน และ สนับสนุนการฝึกร่วมของหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) และ ฉก.904
(พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี )
ด้านการรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ ได้กำชับศูนย์บัญชาการไซเบอร์ กองทัพไทย และ คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กองทัพไทย ประสานกับศูนย์ไซเบอร์เหล่าทัพ และให้มีฝึกอบรมและการแข่งขันทางไซเบอร์ระหว่างเหล่าทัพตามมติสภากลาโหม และต้องเตรียมกำลังและความพร้อมในการแก้ไขปัญหาการต่อต้านก่อการร้ายได้ภายใน 30 นาที และการเพิ่มบทบาทด้านการข่าวมากขึ้น
อีกทั้งการสนับสนุนการเป็น ปธ.อาเซียน ของไทย และการเป็นเจ้าภาพการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอาเซียน (ACDFM) วันที่6-8มี.ค.62 การประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก (CHOD) วันที่ 26-28ส.ค.62ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพกับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่ง พล.อ.พรพิพัฒน์ เป็นนายทหารมีมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ และอยู่ที่ บก.กองทัพไทย มานาน จึงมีเครือข่ายทูตทหารและเหล่าทัพต่างประเทศจำนวนมาก
“ยามใดที่ลังเลในการตัดสินใจเรื่องต้นทางที่ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุดอย่าให้ความคิดใฝ่ต่ำมาบดบังความงามทางจิตใจเป็นอันขาด" ม็อตโต้ ของ พล.อ.พรพิพัฒน์
มาที่ ‘กองทัพสนามไชย’ อย่าง ‘บิ๊กณัฐ’ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม ได้เผยม็อตโต้การทำงาน คือ “ทำเพื่อตัว อยู่แค่สิ้นลม ทำเพื่อสังคม อยู่คู่ฟ้าดิน” โดยเป็นม็อตโต้ที่ พล.อ.ณัฐยึดถือมาตั้งแต่เป็นนายทหาร ทบ. สมัยอยู่ที่ ร.12 รอ. , พล.ร.2 รอ. บูรพาพยัคฆ์ และ พล.ร.9 กาญจนบุรี ซึ่ง พล.อ.ณัฐ ถือเป็นนายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร เพราะเติบโตมาจากสายบูรพาพยัคฆ์ ที่ดูแลชายแดนตะวันออก ก่อนไปเติบโตที่ชายแดนตะวันตก จ.กาญจนบุรี แทน
ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐ ได้มอบนโยบายกำลังพล ถึงภารกิจการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการสืบสาน รักษา ต่อยอด , ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในด้านความมั่นคง พร้อมทั้งมีบทบาทนำในการแปลงนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ไปสู่การปฏิบัติกับเหล่าทัพ และการพัฒนาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมให้ได้รับความเชื่อมั่นศรัทธา มีความกลมกลืน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนาให้ทันสมัย
โดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นฐานที่มั่นสำคัญ หลังมี 4 รัฐมนตรีไปร่วมพรรค และถูกกระแสสังคมกดดันว่าควร ‘ลาออก’ จากตำแหน่งก่อนหรือไม่ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่มาแบบปกติ และไม่ใช่ ‘รัฐบาลรักษาการ’ เช่นในเวลาปกติ
ทั้งหมดนี้เป็นนโยบาย ผบ.เหล่าทัพ ในยุค ‘เปลี่ยนผ่านสำคัญ’และช่วง คสช.ลงจากอำนาจ หรือ ผลัดใบ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศ “ผมสนใจงานการเมือง” ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ลงจากหลังเสือ
แม้ พล.อ.ประวิตร จะเปรียบเทียบกับ ‘รัฐบาลขิงแก่’ สมัย ‘บิ๊กแอ้ด’ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ในความเป็นจริงนั้น กลับมีบริบทแตกต่างกันก็ตาม เพราะรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองและลงเลือกตั้ง
ส่วนการตั้งพรรคมาตุภูมิ ของ ‘บิ๊กบัง’พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน อดีต ปธ.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็เกิดขึ้นหลังจบภารกิจของ คมช. ไปแล้ว จุดนี้เองจึงเป็นจุด ‘เปราะบาง’ ของรัฐบาลในเวลานี้
ทว่ากลับเป็นห้วงเวลาที่ ‘กองทัพ’ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะ ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ เน้นหนักในเรื่องนโยบายภายในกองทัพ เพื่อสร้าง ‘ทหารอาชีพ’ ที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่ายกายถึงจิตใจ และเคร่งครัดในการทำงาน จึงได้ชื่อว่าเป็น ผบ.เหล่าทัพ ชุดที่มีความสมาร์ทและเป็นทั้ง ‘สายบู๊และสายบุ๋น’ เพื่อเป็น ‘ต้นแบบ’ ให้กับกำลังพลได้
ที่สำคัญในยุคนี้ ‘ทหาร’ จะต้องเป็น ‘แบบอย่าง’ แก่ประชาชนด้วย โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ระเบียบวินัย’ เพื่อทำให้กองทัพมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้
โดยผ่านแนวทาง ‘3ส.’ หรือ ‘3เอส’ คือ สมาร์ท สตรอง และ สปิริต นั่นเอง