ไม่พบผลการค้นหา
พบแม่วาฬเพชฌฆาตแบกลูกวาฬที่ตายแล้วนอกชายฝั่งแคนาดานานกว่า 3 วันแล้ว ศูนย์วิจัยวาฬชี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลให้วาฬสุขภาพไม่แข็งแรง

ศูนย์วิจัยวาฬพบวาฬเพชฌฆาตเพศเมียอายุ 30 ปีรหัส J35 นอกชายฝั่งเมืองวิกตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา กำลังแบกซากลูกวาฬที่มีชีวิตได้เพียงครึ่งชั่วโมงก่อนตาย โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม่วาฬตัวนี้พยายามดันซากลูกของมันที่กำลังจมน้ำให้ขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำอย่างไม่ลดละมากว่า 3 วันแล้ว และมันยังแบกลูกของมันอยู่อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยวาฬระบุว่า วาฬเพชฌฆาตและโลมาเป็นสัตว์ที่มีสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่แน่นแฟ้นมาก การที่แม่วาฬ J35 แบกลูกของมันไว้ถึง 3 วันถือเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน แต่ก็มีข้อมูลว่าแม่วาฬบางตัวเคยแบกซากลูกวาฬไว้นานถึง 1 สัปดาห์

นายเคน บัลโคมบ์ ผู้้ก่อตั้งศูนย์วิจัยวาฬให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ระบุว่า ลูกวาฬตัวนี้เป็นลูกวาฬตัวแรกในรอบ 3 ปีที่เกิดมาจากวาฬเพชฌฆาตเซาเทิร์นเรสซิเดนท์เพียง 75 ตัวที่อาศัยอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกของสหรัฐฯ และแคนาดา จากมลรัฐอลาสกาลงมาถึงแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นวาฬที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ลูกวาฬที่เกิดใหม่ร้อยละ 75 มักตายหลังคลอดออกมาได้ไม่นาน และช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยวาฬพบว่า วาฬชนิดนี้ผสมพันธุ์ไม่สำเร็จและแท้งลูกทั้งหมด ทั้งที่ตามธรรมชาติแล้ว ฝูงวาฬควรจะมีลูกวาฬเกิดใหม่ปีละ 6-9 ตัว

นายบัลโคมบ์อธิบายต่อว่าการเห็นลูกวาฬตายเพียงไม่นานหลังเกิดขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ที่วาฬกำลังเผชิญ ได้แก่ 1. สารพิษทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของวาฬ 2. การจราจรทางน้ำที่หนาแน่น 3. การขาดแคลนอาหารวาฬจากการทำประมงของมนุษย์ โดยเฉพาะแซลมอนชินุก ที่ลดจำนวนประชากรอย่างมาก

การขาดแคลนอาหารถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ส่งผลให้แม่วาฬสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกที่เกิดมาก็ไม่แข็งแรงตามไปด้วย โดยวาฬที่อายุน้อยที่สุดของสายพันธุ์นี้มีอายุประมาณ 4 ปี แต่ก็ไม่แข็งแรง และกำลังจะตาย

นายบัลโคมบ์เรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบายทั้งในระดับรัฐและระดับชาติโดยทันที โดยมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์แซลมอนในแหล่งธรรมชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี จึงจะเพียงพอสำหรับวาฬ เนื่องจากที่ผ่านมา มีแต่การบริหารจัดการจำนวนแซลมอน โดยยึดผลประโยชน์ของมนุษย์และการค้าเป็นหลัก ทำให้วาฬมีอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายผ่ายผอม

ที่มา : Whale Research, ABC News, USA Today,