พล.ต.ต.อานนท์ นามประเสริฐ หัวหน้า สอจร.ภาคอีสานบน เปิดเผยถึงการปรับภารกิจของกองร้อยน้ำหวานในช่วงสถานการณ์เกิดโรคโควิด-19 ว่า กองร้อยน้ำหวานเดิมมีภารกิจเกี่ยวข้องกับชุมชนโดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและอาสาจราจร แต่ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทุกพื้นที่ต้องเข้มงวดตรวจตราตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครหญิงกองร้อยน้ำหวาน จึงปรับรูปแบบการทำงานของตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ มาร่วมเป็นแนวหน้าของการตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออก ในพื้นที่ชุมชนที่ตัวเองประจำการอยู่ และเป็นการช่วยผ่อนงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจรักษาการไม่ให้มีประชาชนออกนอกเคหะสถานในช่วงประกาศใช้เคอร์ฟิว

ดังนั้นกองร้อยน้ำหวานที่กระจายอยู่ใน 12 จังหวัด อีสานตอนบน ประกอบด้วย ขอนแก่น อุดรธานี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สกลนคร มุกดาหาร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู และเลย เริ่มภารกิจมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยการทำงานจะร่วมกับตำรวจที่ตั้งด่านคัดกรอง ซึ่งข้อดีคือมีความแม่นยำ เนื่องจากกองร้อยน้ำหวานจะรู้จักคนในชุมชนเกือบทั้งหมด จึงช่วยเรื่องกระบวนการคัดกรองได้เป็นอย่างดี จะรู้ว่าใครเป็นคนนอกคนในหมู่บ้านและที่สำคัญไม่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างการทำหน้าที่ เพราะมีความคุ้นเคยกัน เป็นส่วนช่วยตำรวจได้อย่างมาก นอกจากนี้กองร้อยน้ำหวาน ยังช่วยพ่นยาฆ่าเชื้อโรค ให้ความรู้เรื่องกินร้อน ช้อนกลาง

ทั้งนี้ กองร้อยน้ำหวาน เป็นแนวคิดที่จะหาอาสาประชาชนที่เป็นแม่บ้าน หรือ สุภาพสตรีในชุมชน ของจังหวัดในภาคอีสานตอนบน หรือ ภาค 4 ของตำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แม่บ้านหรือสุภาพสตรี ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจตรา อำนวยความสะดวกเรื่องการจราจรเป็นหลัก เพื่อป้องกันการกระทำความผิดจราจร และสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับคนชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้มาดำเนินการ มีสถานีตำรวจภูธรของแต่ละอำเภอเป็นพี่เลี้ยง คัดหาอาสาสมัครหญิง อายุไม่เกิน 60 ปี มาเข้าค่ายฝึกรูปแบบการให้สัญญาณมือเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณ หน้าโรงเรียน ตลาดนัด งานประเพณี หรือ ตามที่ท้องถิ่นร้องขอ