ไม่พบผลการค้นหา
เปิดบันทึก 2 วัน 'ลับที่สุด' กับภารกิจทำความจริงให้ปรากฏ 'ชาวอุยกูร์ถึงซินเจียงปลอดภัย'

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ พลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และสื่อมวลชนพร้อมคณะ 25 คน ได้เดินทางกลับจากท่าอากาศยานคาชการ์ เขตปกครองตนเองซินเจียง เมื่อเวลา 20.30 น. วานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568) และเดินทางถึงท่าอากาศยานกองบิน 6 ดอนเมือง เมื่อเวลา 03.30 น. เช้าวันนี้ (วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2568) โดยสรุป "ปฏิบัติภารกิจทำความจริงให้ปรากฏ ซินเจียงอุยกูร์" ตลอด 2 วัน ดังนี้

วันที่ 1 (19 มีนาคม พ.ศ. 2568) เวลา 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำคณะและสื่อมวลชน 25 คน เดินทางถึงท่าอากาศยานเมืองคาชการ์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายซู ต้าถง (Mr. Xu Datong) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ให้การต้อนรับ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าพบหารือกับนายฉี หยานจุน (Mr. Qi Yanjun) รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการและการดูแลกลุ่มชาวจีนอุยกูร์ 40 คน ซึ่งถูกส่งตัวกลับเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา

จากนั้น เวลาประมาณ 11.00 น. คณะผู้แทนไทยแบ่งออกเป็น 2 คณะ โดยคณะที่ 1 นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปกว่า 200 กิโลเมตร นำคณะและสื่อมวลชนไปยังบ้านพักในอำเภอซาเชอ เมืองคาชการ์ โดยมีชายชาวอุยกูร์และครอบครัวรอต้อนรับ โดยชาวอุยกูร์กล่าวว่า วันที่มาถึงพ่อแม่และพี่สาวไปรอรับถึงเครื่องบิน และตรงกลับมายังบ้านทันที ไม่ได้ถูกกักตัว โดยส่วนตัวคิดถึงครอบครัวมาก เพราะไม่ได้เจอกันมาเกือบ 12 ปี สาเหตุที่เดินทางออกจากซินเจียงขณะนั้นยังเป็นวัยรุ่น และมีคนหัวรุนแรงชวนไปต่างประเทศ จุดหมายปลายทางคือประเทศตุรกี แต่ถูกจับกุมตัวก่อนขณะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทย ขณะถูกกักตัว คิดถึงครอบครัว และเป็นห่วงแม่ที่สุขภาพไม่ดี อีกทั้งภรรยาก็เพิ่งจะมีลูกคนที่ 2 อายุได้เพียง 2 ขวบ เมื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว ลูกสาวคนเล็กอยู่กับตนเอง ส่วนลูกสาวอีก 1 คนอยู่กับภรรยาซึ่งได้แยกทางกันไป หลังเดินทางกลับถึงจีน ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนในหมู่บ้าน และทางการจีนได้คืนบัตรประชาชนพร้อมทะเบียนบ้านให้ จากนี้อยากจะใช้เวลาดูแลพ่อแม่ ช่วยครอบครัวหารายได้ สำหรับสิ่งที่อยากฝากถึงคนไทย ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและจีนที่ร่วมมือกันส่งตัวกลับบ้าน เวลานี้รู้แล้วว่าอยู่กับครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยดี ไม่ต้องกังวล

ขณะที่พ่อและแม่กล่าวว่า ดีใจมากไม่ได้เจอลูกมาเกือบ 12 ปี คิดถึงมากตอนนั้นไม่รู้ว่าลูกไปไหน แต่เมื่อกลับมาได้แล้วก็ดีใจ แม่ของชายชาวอุยกูร์ร่ำไห้ด้วยความดีใจตลอดการพูดคุย และขอบคุณที่นำลูกกลับคืนสู่ครอบครัว โดยนายภูมิธรรมได้สอบถามว่าระหว่างถูกกักตัวอยู่ที่ประเทศไทย ได้ส่งจดหมายออกมาบ้างหรือไม่ หรือคนอื่นที่ถูกกักตัวอยู่ด้วยกันได้ส่งหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ได้เขียนจดหมายสักฉบับ และไม่ได้ข่าวว่าเพื่อนเขียนจดหมายเช่นกัน

ขณะที่เวลา 13.40 น. คณะที่ 2 นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งพลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. ร่วมกันเดินทางด้วยรถยนต์ไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่มีบ้านพักซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคาชการ์ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร โดยระหว่างทางสภาพของเมืองซินเจียง มีอาคารบ้านเรือน อาคารพาณิชย์ ร้านค้า และสำนักงานสมัยใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก มีทางด่วนสายหลัก และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างเมืองสำคัญ คณะได้ใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงจนถึงถนนซึ่งมีสภาพเป็นแหล่งชนบท ปลูกพืชผลทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ โดยเป็นบ้านสไตล์ชาวอุยกูร์แบบบ้านปูนชั้นเดียว

คณะที่ 2 ของ พ.ต.อ.ทวี ได้พบชาวอุยกูร์อายุ 27 ปี อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชาย ซึ่งหลบหนีไปที่ประเทศไทยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยได้สอบถามถึงความเป็นอยู่หลังจากกลับมาบ้านเกิด โดยเขากล่าวว่า "บ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปมาก และตนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่ตนกลับมา" ในระหว่างที่สนทนา คุณแม่ได้แสดงความรักและตื้นตันใจ ถึงกับร้องไห้ออกมาที่ลูกชายต้องพลัดบ้านเกิดไปนานนับสิบปีโดยไม่รู้ชะตากรรม จากนั้น คณะที่ 2 ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกห่างจากจุดแรกอีกกว่า 50 กิโลเมตร ได้พบกับชายชาวอุยกูร์ครอบครัวที่ 2 ซึ่งกล่าวกับคณะเราด้วยความดีใจว่า "ตั้งแต่กลับมาตนได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขและปรับตัวได้แล้ว" จากนั้นได้โชว์บัตรประชาชนจีนที่เพิ่งทำมาใหม่ของตนเองให้คณะและผู้สื่อข่าวไทยได้ชม โดยใช้เวลาสนทนากว่า 40 นาที

ในช่วงบ่าย คณะที่ 2 ได้ออกเดินทางกลับมายังเมืองหลวงคาชการ์ โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง เพื่อมาสมทบกับคณะที่ 1 ของรองนายกรัฐมนตรีในช่วงเย็น โดยคณะฯ ทั้ง 2 ได้พูดคุยกับชาวอุยกูร์ที่อยู่ห่างไกลไปกว่า 500 กิโลเมตร ผ่านทางระบบวิดีโอคอล โดยทุกคนยืนยันว่าได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีหลังจากกลับมาจากประเทศไทย

จากนั้น เวลาประมาณ 18.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้หารือร่วมกับนายหม่า ซิงรุ่ย (Mr. Ma Xingrui) สมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองกลาง พรรคคอมมิวนิสต์จีน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และคณะผู้บริหารของรัฐบาลจีนระดับสูง โดยได้แสดงความขอบคุณคณะรัฐบาลไทย และยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทุกคนที่กลับประเทศจีนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด โดยนายหม่ากล่าวว่า "ตนคิดว่าอาจมีบางประเทศไม่อยากให้ซินเจียงเจริญโดยใช้ข้อกล่าวหานี้ ซึ่งเรายืนยันว่ารัฐบาลจีนได้ดูแลซินเจียงในยุคสมัยใหม่ โดยที่มณฑลซินเจียงมีประชากรในรูปแบบชนเผ่าถึงกว่า 50 ชนเผ่า และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ให้นโยบายไว้ว่า "ซินเจียง" จะต้องพัฒนาในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และจะให้เป็นเมืองทันสมัยและปลอดภัย

จากนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณและกล่าวว่าหลังจากคณะรัฐบาลไทยเดินทางกลับไปแล้ว จะขอให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง และเจ้าหน้าที่ของไทยได้มีโอกาสไปติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนกลุ่มนี้ต่อไป

(วันที่ 2) "ภารกิจทำความจริงให้ปรากฏ ซินเจียงอุยกูร์"

"ไม่มีดราม่า...ไม่มีสแตนอิน ตัวจริงล้วนๆ ย้ำภารกิจนี้เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและคนไทย"

 นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 2 ของภารกิจฯ (วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม) ช่วงเช้าเวลาประมาณ 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า "จากการพบปะในวันแรก คณะเดินทางระยะไกลมาก บ้านของแต่ละคนอยู่ห่างไกลกัน ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 5-6 ชั่วโมง แต่ได้งานมากพอสมควร ส่วนข่าวที่ออกไปแล้วต้องเบลอหน้าของชาวอุยกูร์ เพราะเขาขอความร่วมมือให้เบลอหน้าเวลานำเสนอข่าว เพราะบางคนไม่สบายใจ เนื่องจากกลับมาแล้วก็ได้ชีวิตใหม่แล้ว อยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากเป็นบุคคลที่ถูกจับตามอง แต่สื่อที่มาทำข่าวก็ได้เห็นหน้าจริงๆ ได้เปรียบเทียบว่าเป็นคนที่อยู่ในเครือข่ายและมีชื่อถูกส่งมาจริงหรือไม่ หากไม่ใช่คงเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน"

"บิ๊กอ้วน...บอกเขาไม่ใช่ดาราสั่ง 'แอ็กชัน...' ให้ร้องไห้ไม่ได้..."

นายภูมิธรรม กล่าวต่อไปว่า "สำหรับการไปเยี่ยมนั้น เขาต้องสมัครใจ เราไม่มีสิทธิละเมิดสิทธิเขา เราไม่ใช่มาเยี่ยมผู้ต้องหา แต่เรามาเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุกดิบ ถ้าพูดกันตามหลักเรื่องนี้จบตั้งแต่เขาขึ้นเครื่องบินของประเทศจีนกลับแล้ว แต่เราไม่ได้มีภารกิจเพื่อทำแค่นี้ เพราะยังคงมีความกังวลใจต่างๆ จึงพยายามเชิญสื่อทุกส่วนมาเห็นจริงๆ ก็ถือว่าจีนอำนวยความสะดวกเยอะ ซึ่งสื่อก็เป็นพยานได้ เราเปิดกว้าง หากใครคิดว่ามีการจัดฉาก ก็ไปหาล่ามมานั่งฟังได้ว่าคุยอะไรกัน หรือถ้าคิดว่าจะเอาเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก ก็พิสูจน์ได้ทั้งหมด เพราะเราทำครั้งนี้เราโปร่งใสหมด

ส่วนการแสดงความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ เขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด บอกให้ร้องไห้ก็ร้องได้เลย อันนี้มาถึงเขาน้ำตาซึม น้ำตาคลอ พอถามว่าดีใจไหม หรือรู้สึกอย่างไร น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างที่เห็น ตนแตะมือเขาเบา แต่เขาบีบมือแน่น การแสดงออกได้ชัดเจนจริงๆ แทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย ดูภาพ ฟังเสียง ดูสายตา ดูอารมณ์ความรู้สึก ภาพมันตอบทั้งหมด และเป็นภาพที่เกิดขึ้นจากความจริง ตอบได้ง่ายกว่า

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าการเยี่ยมครั้งต่อไปจะใช้ระบบซูม นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราต้องเคารพอธิปไตยของจีน เราบอกและเสนอเขาได้ ถ้าเขาอนุมัติก็โอเค แต่ต้องยอมรับว่าคนที่จะมาออกสื่อก็อึดอัดใจเหมือนกัน เพราะเขาผ่านอะไรร้ายๆ มาแล้ว เป็นสิบปี ก็อยากใช้ชีวิตปกติกับครอบครัว บางทีการที่เราเอาเขามาออกสู่สาธารณะ แล้วซักถามเหมือนเขาเป็นนักโทษ เราก็คงต้องคิดในแง่ของมนุษยธรรมด้วย เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนกัน เขาควรตัดสินใจ ไม่ใช่ให้คนอื่นตัดสินใจหรือกำหนดอนาคตให้ เขาต้องมาตอบคำถามอย่างกับเป็นจำเลยของสังคม มันไม่ใช่"

"จิรายุ" เผย วันที่ 2 พบอิหม่ามผู้นำจิตวิญญาณชาวอุยกูร์ ยืนยันไม่ต้องกังวลพวกเขาอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข"

นายจิรายุกล่าวว่า จากนั้นเวลา 10.15 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้นำคณะเข้าเยี่ยมชมยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) ซึ่งเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองคาชการ์ ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการโปรโมทโดยทางการ

ทั้งนี้ ท่านโต๊ะอิหม่ามผู้ดูแลมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน และมีอายุกว่า 500 ปี ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวมุสลิมอุยกูร์ ได้กล่าวผ่านล่ามสองภาษา จากภาษาอุยกูร์มาเป็นภาษาจีนและแปลมาเป็นภาษาไทยว่า "ดีใจที่ชาวอุยกูร์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศไทย ขอให้ไม่ต้องเป็นห่วง ปัจจุบันจีนมีกฎหมายคุ้มครองทุกคนที่กลับมา พวกเขากลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุข และวันนี้ซินเจียงอุยกูร์พัฒนาไปมาก"

อิหม่ามยังได้กล่าวถึงประเทศไทยว่า รู้จักประเทศไทยและชอบดูภาพยนตร์ของไทยบ่อยๆ และหากมีโอกาสก็จะเดินทางไปประเทศไทย ขณะที่ พ.ต.อ. ทวี ได้กล่าวว่า "ประเทศไทยยินดีต้อนรับอิหม่าม และประธานรัฐสภาของไทยก็เป็นชาวมุสลิม หากมีโอกาส ขอเรียนเชิญอิหม่ามและคณะไปเยี่ยมคารวะประธานรัฐสภาไทย"

จากนั้น เวลา 10.30 น. คณะได้แบ่งออกเป็น 2 สาย โดยคณะของนายภูมิธรรม รองนายกฯ จะเดินทางไปเยี่ยมชาวอุยกูร์อีกกลุ่มที่อยู่ห่างออกไป 200 กิโลเมตร โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงฯ ของจีนร่วมเดินทางด้วย ส่วนคณะของ พ.ต.อ. ทวี ฯ รอง ผบ.ตร. และตนจะเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ห่างออกไปกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งทั้ง 2 คณะจะพบกับชาวอุยกูร์อีก 3-4 คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชนบท ที่มีอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ โดยในช่วงบ่ายนอกจากจะเดินทางไปพบด้วยตนเองแล้ว ทั้ง 2 กลุ่มยังจะวิดีโอคอลพูดคุยกับชาวอุยกูร์ที่อยู่ห่างไกลออกไปกว่า 800 กิโลเมตร ในช่วงค่ำก่อนเดินทางกลับอีกด้วย

 "คณะที่ 1 ระบุชาวอุยกูร์ยืนยันใช้ชีวิตปกติดี มีความสุข และปลอดภัย ย้ำไม่เคยเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ"

เวลา 13.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะและสื่อมวลชนมาเยี่ยมชาวอุยกูร์ 1 ใน 40 คน ที่ถูกส่งตัวกลับจากไทย ซึ่งพักอาศัยอยู่ในอำเภอซาเชอ เมืองคาชการ์ โดยมีชายชาวอุยกูร์และครอบครัวรอต้อนรับ พร้อมเล่าว่า พ่อแม่และพี่สาวไปรอรับถึงเครื่องบิน และตรงกลับมายังบ้านทันทีไม่ได้ถูกกักตัวไว้ ส่วนตัวคิดถึงครอบครัวมากเพราะไม่ได้เจอกันมา 12 ปี ชายชาวอุยกูร์เล่าสาเหตุที่เดินทางออกจากซินเจียงตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น และมีคนหัวรุนแรงชวนไปต่างประเทศ จุดหมายปลายทางคือประเทศตุรกี แต่ถูกจับกุมตัวก่อนขณะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทย ขณะถูกกักตัวที่ประเทศไทยคิดถึงครอบครัว และเป็นห่วงแม่ที่สุขภาพไม่ดี อีกทั้งภรรยาก็เพิ่งจะมีลูกคนที่ 2 อายุได้เพียง 2 ขวบ เมื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว ลูกสาวคนเล็กอยู่กับตนเอง ส่วนลูกสาวอีก 1 คนอยู่กับภรรยาซึ่งได้แยกทางกันไป และจะพยายามตามกลับมาให้ได้

นายภูมิธรรมได้สอบถามว่าระหว่างถูกกักตัวอยู่ที่ประเทศไทย ได้เขียนหรือส่งจดหมายออกมาบ้างหรือไม่ รวมถึงคนอื่นที่ถูกกักตัวอยู่ด้วยกัน ได้รับคำตอบว่า ไม่ได้เขียนจดหมายเลย และไม่ได้ข่าวว่าเพื่อนเขียนจดหมายเช่นกัน โดยหลังเดินทางกลับถึงจีนได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนในหมู่บ้าน และทางการจีนได้ให้บัตรประชาชนพร้อมทะเบียนบ้าน จากนี้อยากจะใช้เวลาดูแลพ่อแม่ ช่วยครอบครัวหารายได้

"สำหรับสิ่งที่อยากฝากถึงคนไทย ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและจีนที่ร่วมมือกันส่งตัวกลับบ้าน เวลานี้รู้แล้วว่าอยู่กับครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยดี ไม่ต้องกังวล ขณะที่พ่อและแม่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีใจมากไม่ได้เจอลูกมา 12 ปี คิดถึงมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าลูกไปไหน แต่เมื่อกลับมาได้แล้วก็ดีใจ" โดยแม่ของชายชาวอุยกูร์หลั่งน้ำตาร่ำไห้ด้วยความดีใจ ตลอดการพูดคุยและขอบคุณซ้ำๆ ที่นำลูกกลับคืนสู่ครอบครัว

"คณะที่ 2 พบครอบครัวสุดอบอุ่น ดีใจได้กลับบ้าน หลังจากพลัดพรากลูกสาวตั้งแต่ 4 ขวบ พร้อมเชิญคณะทานผลไม้พื้นถิ่น"

สำหรับคณะที่ 2 ได้ออกเดินทางจากมัสยิดเวลาประมาณ 10.30 น. โดยมีระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง โดยเป็นเส้นทางหลักแบบทางด่วนพิเศษที่เชื่อมโยงเมืองหลักประมาณ 230 กิโลเมตร จากนั้นคณะแยกเข้าเส้นทางชนบทไปอีกกว่า 70 กิโลเมตร จนเวลาประมาณ 14.00 น. จึงถึงบ้านพักของชาวอุยกูร์ที่เดินทางกลับจากประเทศไทย

จากนั้นคณะได้เข้าเยี่ยม โดยบ้านมีลักษณะเป็นบ้านปูนชั้นเดียวแบบชาวเกษตรกรของชาวอุยกูร์ ได้พบกับคุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา และลูกสาววัย 14 ปี โดยพันตำรวจเอก ทวี ได้สอบถามความเป็นอยู่หลังถูกส่งกลับมาบ้านเกิด ซึ่งชายชาวอุยกูร์ตอบว่า "รัฐบาลท้องถิ่นได้พาตนไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในระหว่างเกือบ 1 เดือนที่กลับมา ยังพาตนกับครอบครัวไปเที่ยวในเมืองอื่น ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซินเจียง และทำให้ตนรู้สึกสบายใจ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวก็รู้สึกปลอดภัย ตอนนี้ตนรู้สึกว่าได้ชีวิตใหม่ เป็นปกติแล้ว ขณะนี้ตนอายุ 36 ปี ก่อนจะหลบหนีออกนอกประเทศตนมีลูก 3 คน โดยมีอาชีพเป็นช่างตัดผม ก่อนที่ตนออกนอกประเทศไป บ้านหลังนี้ก็ยังไม่มี ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนเงิน 28,500 หยวน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 140,000 บาท ให้มาสร้างบ้าน และเราก็พักกันที่นี่ มีทั้งพ่อแม่ สามี ภรรยา และลูก ทำเกษตรกรรม"

คณะได้สอบถามถึงเหตุการณ์ว่าเหตุใดจึงหนีออกนอกประเทศ ชายชาวอุยกูร์เล่าว่า "กลุ่มผู้ไม่หวังดีได้โกหกตนหลายเรื่อง ชักจูงตนไปประเทศที่ 3 ทำให้ตนตัดสินใจหนีออกนอกประเทศไปติดอยู่ที่ประเทศไทย 11 ปี แต่ตอนนี้ได้กลับบ้านแล้ว ปัจจุบันกลับมาทำอาชีพเกษตรกร และขอยืนยันว่าไม่มีการบังคับหรือถูกทำร้ายใดๆ ตนมีเสรีภาพร้อยเปอร์เซ็นต์"

"โอกาสนี้ก็ต้องขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากประเทศไทย ตนรู้สึกประทับใจและขอบคุณรัฐบาลท้องถิ่นอีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เห็นซินเจียงพัฒนา แต่เห็นทั้งประเทศจีนทันสมัยมาก และเมื่อตนกลับมาก็จะดูแลครอบครัวเป็นหลัก เมื่อถามว่ากลับมาแรกๆ กลัวหรือไม่ เขาตอบว่า 'กลับมาใหม่ๆ ก็เครียด แต่รู้สึกว่ารัฐบาลท้องถิ่นมีน้ำใจต่อตนและครอบครัว อยู่มาเกือบเดือนแล้วตอนนี้ก็สบายใจมาก'"

จากนั้นได้สอบถามเรื่องการศึกษา ซึ่งชายชาวอุยกูร์ตอบว่า "ตนไม่ได้เรียนหนังสือ แม้คุณแม่เป็นครูอยากให้เรียนตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ตนก็ไม่เชื่อฟัง" พร้อมยืนยันว่า "ไม่เคยมีการเขียนจดหมายใดๆ ออกมาระหว่างที่อยู่ประเทศไทย" ก่อนที่พันตำรวจเอก ทวี จะกล่าวว่า "วันนี้มาเยี่ยมมาดูความปลอดภัย และมาดูว่าชีวิตดีขึ้นหรือไม่ ได้ยินแบบนี้รู้สึกสบายใจ และขออวยพรให้ครอบครัวมีความสุขสมหวังต่างๆ"

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า สำหรับบรรยากาศการพูดคุยกับครอบครัวชาวอุยกูร์นี้ คุณแม่ดูมีความสุขตามธรรมชาติ หลังได้พบกับลูกชายและกอดหอมแก้มแสดงความคิดถึง ในขณะที่ลูกสาววัย 14 ปีก็ได้โผสวมกอดพ่อตัวเอง เพราะขณะที่เขาถูกจับลูกสาวมีอายุเพียง 3-4 ขวบเท่านั้น จากนั้นครอบครัวนี้ได้ร้องเพลงพื้นถิ่นให้คณะฟัง ซึ่งมีความหมายของเพลงว่า "ดวงดาวที่สองสว่างบนฟ้า เป็นประกายเหมือนตาของแม่" ก่อนที่มารดาจะร้องอีก 1 บทเพลง ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่นชมและขอบคุณคุณแม่ที่ดูแลลูกมาจนเติบโต พร้อมกันนี้ทางครอบครัวยังได้เชิญคณะของพันตำรวจเอก ทวี ฯ ทานขนมของว่างที่จัดไว้ ซึ่งตนก็ได้สอบถามวิธีปฏิบัติว่าครอบครัวของคุณแม่สามารถทานได้หรือไม่ ซึ่งคุณแม่บอกว่าอาหารที่ตั้งไว้แบบนี้มีทุกบ้าน เป็นประเพณีท้องถิ่น จัดแบบนี้ทุกวันแม้จะมีแขกมาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งคุณแม่ได้เชิญชวนคณะทาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ท้องถิ่น อินทผาลัม และขนมปัง

จากนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. คณะที่ 2 ออกเดินทางกลับไปยังเมืองคาชการ์ โดยมีกำหนดพบกับคณะที่ 1 ของนายภูมิธรรม เพื่อวิดีโอสนทนากับชาวอุยกูร์ที่อยู่ห่างไกลมากกว่า 500 กิโลเมตร ในช่วงเวลา 17.00 น. อีกครั้ง

"2 วัน ได้คุย 12 คน รวมครั้งแรกอีก 3 เป็น 15 ทุกคนแฮปปี้ ยันนับจากนี้ขอจีนให้ทูตไทยปักกิ่งเยี่ยมต่อพร้อมวิดีโอคอล"

จากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. นายภูมิธรรม ฯ ได้วิดีโอคอลพูดคุยกับชายชาวอุยกูร์ที่เดินทางกลับมาอีก 3 ราย โดยคนแรกบอกว่า เมื่อกลับมาก็ได้ไปตรวจร่างกาย พบว่าน้ำตาลในเลือดสูง และได้ใช้เวลารักษา 3 วันที่โรงพยาบาล ก็ได้กลับบ้าน ขอบคุณจีนและประเทศไทยที่ประสานกันจนได้กลับมาบ้าน ตนถูกจับที่จังหวัดสงขลา และถูกควบคุมที่ห้องกักก่อนถูกส่งไปที่ห้องกัก ตม. ที่สวนพลู กรุงเทพฯ เมื่อถามว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการประสานนำตัวกลับมาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า ดีใจมากที่ได้มีโอกาสกลับเมืองจีนถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และส่วนตัวไม่เคยเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ ส่วนจะมีการเขียนจดหมายหรือไม่นั้นในห้องกักคนเยอะจึงไม่ทราบข้อมูล

ขณะที่นายภูมิธรรมถามว่า มีคนไทยเป็นห่วงคิดว่ารัฐบาลไทยตัดสินใจผิดที่ส่งกลับมาเพราะอาจกลับมาแล้วเจออันตราย ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า ตอนอยู่ที่ห้องกักเคยดูทีวีเห็นว่าถ้าถูกส่งกลับจะมีสิ่งที่ไม่ดี แต่กลับมาแล้วก็ถูกส่งกลับบ้านเลย ได้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายหากต้องจ่ายเองคงต้องใช้หลายแสนหยวน

ขณะที่ชายอุยกูร์รายที่ 2 กล่าวว่าตอนนี้ได้กลับมาอยู่ที่บ้านกับคุณแม่อายุ 69 ปี คุณพ่ออายุ 72 ปี โดยนายภูมิธรรมถามว่า "ตอนลูกไปทราบหรือไม่และรู้สึกอย่างไรที่ลูกได้กลับมา" คุณแม่ของชายชาวอุยกูร์ตอบว่า "ตอนลูกชายไปต่างประเทศไม่รู้เลยว่าไปไหน กลัวจะเสียชีวิต ขอบคุณที่รัฐบาลไทยและจีนมีส่วนร่วมทำให้ได้กลับมาบ้าน และมองว่าการตัดสินใจได้กลับบ้านครั้งนี้ถูกต้องที่สุด ดีใจที่ได้กลับบ้าน" เมื่อถามว่าเมื่อเห็นบ้านเรือนที่ได้พัฒนาตอนนี้ยังอยากไปประเทศที่ 3 อีกหรือไม่ ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า "เวลานี้เมื่อได้อยู่กับครอบครัวดีใจอบอุ่นตอนนี้ไม่อยากไปประเทศที่ 3 แล้ว" เมื่อถามว่าวันนี้คิดอย่างไร "ตนขอบคุณสำหรับคนที่มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ที่กลับมา แต่ขอบอกว่าตนมีความสุขที่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวตัวเอง"

ขณะที่ชายชาวอุยกูร์รายที่ 3 กล่าวว่าตอนนี้ได้กลับมาอยู่กับคุณแม่และน้องสาว หลังจากกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้วรู้สึกมีความสุขมาก นายภูมิธรรมถามว่า ระหว่างการตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศกับการตัดสินใจกลับมา มีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า เวลานี้มีความสุขอยู่กับครอบครัวมาก ขอบคุณที่รัฐบาลช่วยเหลือส่งตนกลับมา นายภูมิธรรมถามย้ำว่าทำไมถึงตัดสินใจออกนอกประเทศทิ้งครอบครัวไป ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า ตอนตัดสินใจไปประเทศที่ 3 ยังเป็นวัยรุ่นยังไม่ได้คิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพื่อนชวนไปต่างประเทศก็ไปแล้ว แต่วันนี้มีความสุขมากที่ได้อยู่กับครอบครัวแล้ว

นายจิรายุ กล่าวสรุปว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจช่วงเวลา 19.00 น. คณะผู้แทนของรัฐบาลได้ประชุมสรุปผลการตรวจเยี่ยมชาวจีนที่เดินทางกลับ โดยนายภูมิธรรมฯ ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนที่อำนวยความสะดวกตลอดเวลา 2 วัน โดยกล่าวว่าจากนี้รัฐบาลไทยจะมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ได้มีโอกาสไปเยี่ยมกลุ่มคนที่เหลือหรือวิดีโอคอล เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการส่งชาวอุยกูร์กลับสู่แผ่นดินเกิดโดยไม่มีการละเมิดสิทธิหรือมนุษยชนต่อไป

ทั้งนี้ ตลอด 2 วันของภารกิจ ในวันที่ 1 คณะทั้ง 2 คณะได้พบชาวอุยกูร์ที่บ้าน ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568 จำนวน 4 คน คือ นายมูตาลิป, นายยาวุธ ราฟิท, นายซีเล็ค เคลโลล, นายอับดุล มาห์มุด และวิดีโอคอลอีก 3 คน คือ นายฮัมซะ หรืออับดุลฮาซัน, ผู้ที่เดินทางกลับตอนปี พ.ศ. 2558 (ขอสงวนชื่อ) และนายเออเมอร์ รวมเป็น 7 คน

ส่วนวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568 ทั้ง 2 คณะได้เข้าเยี่ยมอีก 2 คน คือ นายมุสตาฟา และนายบาซัก อับดัชซาเม็ท นอกจากนี้ และได้พูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อีก 3 คน คือ นายมูฮัมหมัด อะมิน, นายมูฮัมหมัด อัลดุลลา, นายยูโซ๊ป รวมเป็น 12 คน และที่พบก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เลขา สมช. เดินทางมาพบอีก 3 ราย รวมได้เยี่ยมพบแล้วทั้งหมด 15 ราย (ปี พ.ศ. 2568 14 ราย และที่กลับปี พ.ศ. 2558 จำนวน 1 ราย)

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อ 18 ปีที่แล้ว สมัยที่ตนเป็นนักข่าว เคยเดินทางด้วยรถยนต์จากประเทศไทย ผ่านลาว มาที่จีน ผ่านเมืองอุรุมชี มณฑลซินเจียง ข้ามชายแดนจีน-คาซัคสถาน ไปที่ประเทศอุซเบกิสถาน ซึ่งในอดีตเมืองต่างๆ เหล่านี้ไม่มีความเจริญนัก ต่างจากวันนี้ที่มีทั้งมอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูง และตึกรามบ้านช่องที่ทันสมัย

นายจิรายุกล่าวและย้ำว่าทำให้นึกถึงคำที่ว่า "หนึ่งภาพ...กับล้านความหมาย...จริงๆ ครับ..."