บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยผลประกอบการและผลดำเนินการของบริษัทประจำปี 2562 ระบุมียอดส่งมอบทั้งรถยนต์ภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวม 12,954 คัน คิดเป็นการปรับตัวลดลงราวร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับยอดของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 13,087 คัน
นายอเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยชี้ว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในไทยโตติดลบร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยคิดเป็นยอดการส่งมอบรถยนต์รวม 529,477 คัน ขณะที่ตลาดรถยนต์หรูโตลดลงร้อยละ 2 คิดเป็นยอดการส่งมอบรวม 29,474 คัน
อย่างไรก็ตาม นายอเล็กซานเดอร์ ชี้ว่าประมาณการสำหรับปีนี้ยังคงดีอยู่ แม้ตัวเลขสถิติจากนักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์หรูจะเติบโตที่ประมาณร้อยละ 2 ซึ่งเป็นการปรับลงจากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 2.7 พร้อมเสริมว่า บีเอ็มดับเบิลยู ยังเชื่อในกลยุทธ์ตลาดของตัวเองที่เน้นการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
ด้านนายอูเว่ ควาส กรรมการผู้จัดการบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทยชี้ว่าตลอดระยะเวลาก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 โรงงานผลิตรถยนต์ในระยองผลิตไปแล้วกว่า 155,000 คัน โดยเป็นยอดที่ผลิตได้ในปี 2562 ทั้งสิ้น 31,944 คัน
โดยไทยเป็นเพียงโรงงานเดียวในโลกที่ผลิตทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของบริษัท และแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออกในฝั่งรถยนต์ราวร้อยละ 58 และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเพียงร้อยละ 42
ขณะที่สัดส่วนการผลิตรถจักรยานยนต์แบ่งเป็นเพื่อการส่งออกร้อยละ 70 และเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 30 ซึ่งตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย
ทั้งนี้นายอูเว่ย้ำว่ากำลังการผลิตที่ลดลงในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เป็นเรื่องปกติของตลาดอยู่แล้วไม่ใช่เป็นผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และย้ำว่าโรงงานยังคงกำลังการผลิตในอัตราเท่าเดิม แต่พร้อมปรับเปลี่ยนเสมอหากมีการพิจารณาที่เหมาะสม
ปัจจุบันบีเอ็มดับเบิลยูมีมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท ภายใต้ 4 แบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มอับเบิลยู, มินิ, มอเตอร์ราด และอัลเพอรา ไฟแนนซ์เชียล