ไม่พบผลการค้นหา
ตำรวจพร้อมหมายศาลบุกตรวจค้นหนังสือ 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย' ที่สำนักงานของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน หลังรอง ผบช.น. ชี้ใคร พิมพ์ จำหน่าย แจก โฆษณา หนังสือหมิ่นเหม่ ผิดหมด

ทวิตเตอร์ TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.15 น. ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ นนทบุรี นำหมายค้นของศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าค้นออฟฟิศของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน โดยระบุว่าเพื่อพบและยึดหนังสือ 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย'

การเข้าค้นครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการนัดชุมนุมของกลุ่ม REDEM ที่บริเวณท้องสนามหลวง หรือที่ผู้ชุมนุมเรียกในชื่อใหม่ว่า 'สนามราษฎร' และเกิดขึ้นหลังจากการแถลงข่่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) โดยพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ซึ่งแถลงถึงมาตรการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการชุมนุมของกลุ่ม REDEM ในช่วงเวลา 18.00 - 21.00 น.

รอง ผบช.น.ระบุถึงกิจกรรมแจกหนังสือเล่มดังกล่าว 10,000 เล่ม รวมทั้งเตรียมอ่านเนื้อหาในหนังสือพร้อมกันว่า การที่ผู้ชุมนุมประกาศว่าจะมีการแจกหนังสือ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาบางอย่างซึ่งผิดกฎหมาย หมิ่นประมาทผู้หนึ่งผู้ใด หรือ ผิดมาตรา 112 ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ผู้จำหน่าย จ่ายแจก จะถือว่าร่วมกระทำความผิดด้วย อย่างไรก็ตามในการแถลงข่าวไม่ได้มีการระบุชัดว่า เนื้อหาในหนังสือดังกล่าวนั้น มีส่วนใดที่ถือว่าผิดกฎหมาย

อานนท์ นำภา  สถาบันพระมหากษัตริย์ เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย ชุมนุม แฟลชม็อบ

สำหรับหนังสือ 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย' เป็นหนังสือที่ถอดความคำปราศรัยของอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งเวลานี้ถูกสั่งขังระหว่างพิจารณาคดี 112 อยู่ภายในเรือนจำ

คำปราศรัยดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 ในการชุมนุม 'ม็อบแฮรี่พอตเตอร์ เสกคาถาไล่คนที่คุณก็รู้ว่าใคร' คำปราศรัยของอานนท์ในครั้งนั้นถือเป็นการยกเพดานการแสดงความเห็นทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาอย่างที่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปี

ทั้งนี้ก่อนที่จะเริ่มต้นการปราศารัยครั้งนั้น อานนท์ ระบุว่า การปราศรัยของเขาจะเป็นไปด้วยความเคารพ ให้เกียรติต่อตนเอง ผู้ฟัง และด้วยความเคารพอย่างสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เขามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดถึงบทบาทของสถาบันที่เกี่ยวกับการเมืองไทยซึ่งเกิดขึ้นในทุกวันนี้ ซึ่งไม่ได้มีความต้องการล้มล้างสถาบัน แต่เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมั่นคงแข็งแรง 

เนื้อหาการปราศรัยมีประเด็นต่างๆ ดังนี้ 

  • หลัง คสช.ทำรัฐประหารปี 2557 มีการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีชัย ฤชุพันธ์ ที่อานนท์มองว่า มีการขยายพระราชอำนาจไปไกล ในมาตรา 15 วรรคสอง 

"มาตรา ๑๕ การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย 

การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา" 

  • 2.การแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญหลังจากผ่านการประชามติแล้วหลายเรื่องที่สำคัญคือ เรื่องการแก้วิกฤตบ้านเมือง และเรื่องการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 

"นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... ฉบับที่ผ่านการออกเสียงประชามติ ตามข้อสังเกตพระราชทาน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 18 ก.พ. 2560 ว่า ได้รับแจ้งจากสำนักอาลักษณ์ว่าได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญฯ ลงในสมุดไทย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ (15 ก.พ. 2560) จากนั้นจะรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับทราบ แล้วนายกฯ จะมีบัญชาให้ส่งไปสำนักราชเลขาธิการเพื่อตรวจสอบ แล้วนำเข้าคณะองคมนตรี ก่อนนำขึ้นถวาย ซึ่งคือ การทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแต่ไม่ต้องเข้าเฝ้าฯ โดยจะดำเนินการถวายขึ้นไปจะเป็นวันใดก็แล้วแต่นายกฯ แต่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 18 ก.พ. 2560 หลังจากนั้นก็อาจมีการเปิดเผยข้อความในร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่มีการแก้ไขให้ประชาชนได้รับทราบ" ข่าวจากเว็บไซต์บีบีซีไทย 

  • 3. การออก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 และพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 พ.ร.บ.โอนกำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งทั้งหมดมีผลเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปจากเดิมอย่างมาก 
  • 4. กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ โดยไม่ปฏิญาณว่าจะปฏิบัติและรักษารัฐธรรมนูญ และการแอบอ้างสถาบันหลายครั้งของพลเอกประยุทธ์ทำให้สถาบันเสียหาย 
  • 5. การใส่ร้ายว่าผู้ที่ออกมาไล่ประยุทธ์ เรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือผู้ล้มล้างสถาบัน 
  • 6.การใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ของประเทศและประชาชน นับเป็นการประจบประแจงของข้าราชการอย่างล้นเกิน