วันที่ 25 พ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) สมหวัง จำปาหอม ทนายความ ได้ยื่นเอกสารถึง อิทธิพร บุญประครอง ประธาน กกต. เพื่อขอให้เร่งดำเนินการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกรัฐมนตรี จากกรณีการถือหุ้น บริษัทไอทีวี ( จำกัด) มหาชน
โดย สมหวัง ระบุว่า เดินทางมาจาก จ.ยโสธร เพื่อมายื่นหนังสือให้ กกต. เร่งรัดให้ดำเนินการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ พิธา จากกรณีการถือหุ้นสื่อ ซึ่งจะทำให้ พิธา จากคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไป พ. ศ. 2566 ได้ล่วงเลยมานานแล้ว แต่ กกต. ยังไม่ดำเนินการใดๆต่อเรื่องนี้ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ สมหวังได้ร้องเรียนให้ กกต. รีบดำเนินการดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง
ประการแรก กรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ผ่านมา (ปี 2562) นั้น ทำให้ พิธา ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. แล้ว แต่ กกต. ยังปล่อยให้ พิธา ได้การรับรองให้เป็น ส.ส. ดังนั้นจึงขอให้ท่านรีบยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ซึ่งหากล่วงเลยเวลา จำเป็นต้องร้องสอบสวนให้ดำเนินคดี กกต. ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวกฎหมายอาญา มาตรา 157
สมหวัง ยังได้ยกกรณีของการตัดสิทธิ์สมาชิกสภาเทศบาล ต.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โดยระบุว่า ส.ท. คนดังกล่าวถือหุ้น อ.ส.ม.ท เพียงไม่กี่หุ้น และไม่มีผู้ร้องเรียนแต่ กกต. ก็ได้ตัดสิทธิ์เลือกตั้งภายในเวลาไม่กี่เดือน จึงอยากให้ กกต. ใช้มาตรฐานเดียวกันในกรณีของพิธา
ประการที่สอง ในการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2566 นี้น พิธา จึงขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส. รวมถึงไม่มีสิทธิ์รับรองผู้สมัคร ส.ส. ใน ฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อปรากฎหลักฐานชัดแจ้งแล้ว อำนาจในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. จึงเป็นหน้าที่ของ กกต. ดังนั้นจึงขอให้รีบคำเนินการก่อนที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะหากรับรองการเป็น ส.ส.ไปก่อนแล้วจึงส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจนัย อาจทำให้ กกต. มีความผิดตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 157
สมหวัง ยังระบุว่า ตนเองไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดแต่เดินทางมาร้องเรียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เฝ้าติดตามการทำงานของ กกต. และหวังดีต่อประเทศชาติ อีกทั้งอยากให้ กกต. ใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยโดยไม่หวั่นไหวต่อกระแสสังคม