CNN Business รายงานว่า เน็ตฟลิกซ์ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสตรีมมิงชื่อดังจากสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในปีนี้ หลังจากที่ตัวเลขผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดประจำปี 2562 ออกมาไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 นี้ Netflix สูญเสียยอดผู้ใช้บริการรายเดือนบางส่วนไป ส่วนตัวเลขการเติบโตของผู้ใช้บริการรายเดือนรายใหม่มีการเติบโตที่น้อยลง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เอง มูลค่าหุ้นของ Netflix ก็ร่วงลงสะสมกว่าร้อยละ 25 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในภาพรวมของทั้งปี 2562 มูลค่าหุ้นของ Netflix ยังคงบวกอยู่ที่ร้อยละ 5 แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เห็นชัดว่ามูลค่าหุ้นของเน็ตฟลิกซ์เติบโตน้อยที่สุดเมื่อเทียบกลุ่ม 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่เรียกว่า FAANG ซึ่งประกอบด้วย Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google ที่เติมโตอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 15 - 50
นอกจากนั้นแล้วภาพรวมของสมรภูมิทางการตลาดของอุตสาหกรรมสตรีมมิงของโลกก็ดูเหมือนจะเริ่มหนาแน่นด้วยจำนวนและดุเดือดด้วยการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตอย่างโดดเด่นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
โดย Disney+ บริการสตรีมมิงจากดิสนีย์ที่กำลังจะเปิดตัวปลายปีนี้ ในวันที่ 12 พ.ย. 2562 ด้วยราคาสมาชิกรายเดือนที่ออกมาตัดหน้าหลายแบรนด์เดือนละ 6.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 212 บาทเท่านั้น ขณะที่ค่าสมาชิกรายเดือนแบบสแตนดาร์ดของเน็ตฟลิกซ์นั้นอยู่ที่ 12.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 395 บาท
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้คู่แข่งอย่างดิสนีย์พลัสน่ากลัวขึ้นไปอีกก็คือการที่ดิสนีย์มีผู้สร้างระดับท็อปของวงการอยู่ในกำมือ ไม่ว่าจะเป็น Marvel Pixar และผู้สร้างภาพยนตร์ Star Wars อย่าง Lucasfilm รวมไปถึง Disney studio เองอีกด้วย และหากยังไม่มากพอ อีกหนึ่งคู่แข่งที่กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 1 พ.ย. คือ Apple+ จากบริษัทผู้ผลิตไอโฟนที่ตั้งราคาไว้เพียงแค่ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 151 บาทเท่านั้น
มากไปกว่านั้น การต่อสู้ทางธุรกิจวิดีโอสตรีมมิงยังคงความเข้มข้นขึ้นไปอีกสำหรับทั้ง Netflix Disney+ และ Apple+ เพราะบนสนามรบนี้ยังมีผู้เล่นสำคัญอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น HBO Max จาก WarnerMedia , Comcast และ Peacock จาก NBCUniversal นอกจากนั้นก็ยังมีสตรีมมิงเจ้าเก่าระดับตำนานที่เติบโตมาพร้อมๆ กับ Netflix อย่าง Hulu, ผู้ให้บริการรับชมวิดีโอรายใหญ่อย่าง Youtube และผู้ให้บริการการรับชมคลิปวิดีโอแบบสั่ง อย่าง Quibi อีกด้วย
ทั้งนี้ CNN Business วิเคราะห์ประเด็นมูลค่าหุ้นของเน็ตฟลิกซ์ร่วงเอาไว้ว่า สาเหตุหลักที่เป็นเช่นนั้น เพราะเนื้อหาเอ็กซ์คลูซีพที่เคยมีฉายเฉพาะแค่ใน Netflix เท่านั้นกำลังจะถูกถอดออกไปเพื่อไปอยู่ในแพลตฟอร์มอื่นแทน ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญดึงดูดผู้บริโภคให้สนใจมาจ่ายเงินสมัครเป็นสมาชิกรายเดือนกับเน็ตฟลิกซ์ เช่น รายการและภาพยนตร์ของมาร์เวลที่ฉายทางเน็ตฟลิกซ์กำลังจะไปออนแอร์อยู่ใน Disney+ แทน ส่วนซีรีส์ซิทคอมชื่อดังอย่าง Friends และ The Office ก็กำลังจะย้ายออกจากแพลตฟอร์มของเน็ตฟลิกซ์ในอีก 2 ปีข้างหน้าเช่นกัน และจะไปอยู่บน HBO Max และ Peacock แทน ตามลำดับ
ทั้งนี้ ซีรีส์ไซไฟยุค 80 ชื่อดังอย่าง "Stranger Things" คือหนึ่งในปรากฎการณ์ที่ช่วยสร้างความนิยมและกระแสเชิงบวกให้กับเน็ตฟลิกซ์อย่างมากหลังจากที่ได้ปล่อยซีซั่น 3 ออกมาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. และได้ประกาศออกมาแล้วด้วยว่ากำลังจะสร้างซีซั่น 4 เร็วๆ นี้
นักวิเคราะห์คาดว่าในไตรมาสที่ 3 นี้เอง เน็ตฟลิกซ์สร้างมารถดึงดูดสมาชิกรายเดือนใหม่เพิ่มขึ้นได้ถึง 757,000 คนในสหรัฐฯ และอีก 6.1 ล้านคนจากทั่วโลก