ไม่พบผลการค้นหา
ทางการยูเครนได้ออกมากล่าวหารัสเซียว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (24 มี.ค.) กองทัพรัสเซียได้บังคับประชาชนชาวยูเครนจากหลายเมืองกว่าหลายแสนรายข้ามฝั่งไปยังรัสเซีย โดยจำนวนมากในนั้นถูกจับกุมไว้เพื่อเป็น “ตัวประกัน” ในการกดดันรัฐบาลยูเครนให้ยอมแพ้สงครามในครั้งนี้

ลุดมิลา เดนิโซวา ผู้ตรวจการแผ่นดินยูเครนระบุว่า ประชาชนกว่า 402,000 ราย ซึ่งในนั้นเป็นเด็กจำนวน 84,000 ราย ถูกนำตัวข้ามฝั่งไปยังประเทศรัสเซีย สอดคล้องกันกับตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับทางการรัสเซียที่มีรายงานการนำตัวพลเรือนจากภูมิภาคทางฝั่งตะวันออกของยูเครนซึ่งถูกควบรวมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยรัสเซียระบุว่า กลุ่มพลเรือนดังกล่าวมีความสมัครใจที่จะเดินทางข้ามไปยังฝั่งรัสเซียเอง

รัสเซียอ้างว่าประชาชนในภูมิภาคทางฝั่งตะวันออกของยูเครนเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษารัสเซีย และมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมของรัสเซียด้วย ทั้งนี้ รัสเซียได้เดินหน้ารุกรานพื้นที่ทางตะวันออกก่อนประกาศรับรองเอกราชของดินแดนในโดเนสต์และลูฮันส์

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าทางการยูเครนและรัสเซียได้มีการแลกเปลี่ยนนักโทษทั้งทหารและพลเรือนจำนวน 50 ราย ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่สงครามครั้งนี้เกิดขึ้น โดยการรุกรานของรัสเซียในยูเครนดำเนินมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว ในขณะที่ทั้งสองฝั่งมีการยิงตอบโต้กันจนกลายเป็นสงครามของการทำลายล้าง

ทั้งนี้ รัสเซียยังคงเดินหน้ารุกรานยูเครนในทางตะวันออก ตอนเหนือ และตอนใต้ของยูเครน ในขณะที่ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ที่จะช่วยส่งเครื่องบินรบ รถถัง หัวจรวด ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ และอาวุธอื่นๆ เข้ามายังยูเครนเพื่อ “ปกป้องคุณค่าร่วมกันของเรา”

พลเอกอาวุโส มิคาอิล มิซินต์เซฟ ของรัสเซียระบุว่า มีประชาชนแล้ว 400,000 รายที่อพยพเข้ามายังฝั่งรัสเซียจากยูเครน ตั้งแต่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางการทหารในโดเนสต์และลูฮันส์ โดยมีการอ้างเพิ่มว่าทางการรัสเซียจะจ่ายเงินค่าที่อยู่อาศัยและค่าใช้จ่ายให้กับผู้อพยพเข้ามายังรัสเซีย ทั้งนี้ ภูมิภาคดอสบาสมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มีรัสเซียหนุนหลังสามารถควบคุมพื้นที่ดังกล่าวได้เป็นเวลามาแล้วกว่า 8 ปี

ในอีกทางหนึ่ง ปาฟโล คีรีเคนโก ผู้ว่าการภูมิภาคโดเนสต์ของยูเครนระบุว่า “ประชาชนถูกบังคับให้ย้ายไปยังดินแดนของรัฐผู้รุกราน” โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า หญิงชาวยูเครนวัย 92 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองมารีอูปอล ถูกกองทัพรัสเซียบังคับให้เธออพยพไปยังทากันร็อก เมืองทางตอนใต้ของรัสเซียด้วย นอกจากนี้ มีรายงานการนำประชาชนบนรถบัส ณ เมืองมารีอูปอลส่งตัวไปยังรัสเซียด้วย

ทางการยูเครนยังได้ระบุอีกว่า รัสเซียได้นำพาสปอร์ตของพลเรือนยูเครนที่ถูกบังคับให้ย้ายออกจากดินแดนของยูเครนไป และส่งพลเรือนกลุ่มดังกล่าวเข้า “ค่ายคัดกรอง” ทางภาคตะวันออกของยูเครนซึ่งมีกลุ่มแบ่งแบกดินแดนควบคุมอยู่ ก่อนที่จะส่งกลุ่มพลเรือนดังกล่าวไปยังพื้นที่ห่างไกลและเศรษฐกิจตกต่ำในรัสเซีย

ยูเครนระบุว่า การนำตัวพลเรือนกว่า 4 แสนรายของตนข้ามไปยังฝั่งรัสเซียเป็น “การใช้พวกเขาในฐานะตัวประกันและเอาพวกเขามาเป็นแรงกดดันต่อยูเครน” อย่างไรก็ดี รัฐบาลยูเครนยืนยันว่าตนจะยังคงเดินหน้าปกป้องประเทศของตนเอง และยูเครนกับรัสเซียจะต้องนั่งคุยกับบนโต๊ะเจรจาเพื่อยุติสงครามที่ยูเครนไม่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้

ที่มา:

https://apnews.com/article/russia-ukraine-kyiv-europe-nato-5af548b472ba5a3ea4c64d4ef0aa4234?fbclid=IwAR042zygVOrkmtnnAqqA9lnccj2kaN-vfcBWFQexRtzPWuTWMAhsG4znIsY

https://www.theguardian.com/world/2022/mar/20/russia-bombed-mariupol-art-school-sheltering-400-people-says-ukraine