ไม่พบผลการค้นหา
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้มาถึงจุดจบแล้ว แม้ว่าจะมีตัวเลขการผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นก็ตาม

“เรายังมีอะไรต้องทำเกี่ยวกับมันอีกมาก แต่การระบาดใหญ่จบลงแล้ว” ไบเดนกล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ทั้งนี้ ตัวเลขทางสถิติเปิดเผยว่า มีชาวสหรัฐฯ เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ประมาณ 400 รายต่อวัน .ในขณะที่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า จุดจบของการระบาดใหญ่เริ่ม “มองเห็นได้ในระยะไกล”

จากการสัมภาษณ์ของไบเดนกับทางรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.) ไบเดนระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเกิดการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะต้องมีภาระงานอีกมากที่จะต้องทำในการควบคุมเชื้อไวรัส

ในการสัมภาษณ์ก่อนการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อน 60 Minutes ได้ตั้งกล้องถามไบเดน ที่เดินทางมาร่วมงานดีทรอยต์ออโต้โชว์ ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก “ถ้าคุณสังเกตจะพบว่า ไม่มีใครใส่หน้ากากแล้ว” ไบเดนระบุในการให้สัมภาษณ์ “ทุกคนดูเหมือนจะแข็งแรงกันดี… ผมคิดว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลงไป”

อย่างไรก็ดี หน่วยงานของทำเนียบขาวแจ้งกับผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) ว่า ความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายแต่อย่างใด และยังไม่มีการวางแผนใดๆ ในการประกาศยกเลิกมาตรการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เพื่อตอบรับกับโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ของสหรัฐฯ

เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศขยายมาตรการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขสาธารณะ ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 ยาวมาจนถึงวันที่ 13 ต.ค. โดยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ มีประชาชนสหรัฐฯ เสียชีวิตจากโควิด-19 ไปแล้วกว่า 1 ล้านราย

จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์เปิดเผยว่า มีอัตราเฉลี่ยการเสียชีวิตจากโควิด-19 ของประชาชนชาวสหรัฐฯ ในระยะเวลา 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่วันละ 400 ราย โดยคิดเป็น 3,000 รายตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว เปรียบเทียบกับช่วงเดือน ม.ค. 2564 ที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อสัปดาห์เดียวอยู่ที่ 23,000 ราย 

ทั้งนี้ มีอัตราประชากรสหรัฐฯ จำนวน 65% เท่านั้น ที่ได้รับการฉึดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยสหรัฐฯ ยังคงมีมาตรการบังคับฉีดวัคซีนในหลายสถานที่ เช่น เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข กำลังพลทางทหาร และผู้ที่เดินทางเข้ามายังสหรัฐฯ โดยไม่มีสัญชาติสหรัฐฯ ผ่านทางเครื่องบิน

แกนนำพรรครีพับลิกันกล่าวโจมตีไบเดนต่อคำพูดของประธานาธิบดีล่าสุด โดย ไมค์ ปอมเปโอ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยุค โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า “ตอนนี้ไบเดนกล่าวว่า 'การระบาดใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว' ในขณะที่เขากำลังไล่ทหารที่มีสุขภาพดีหลายหมื่นคนออกจากกองทัพ ด้วยคำสั่งการบังคับฉีดวัคซีนโควิดของเขาเอง”

ในทางตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวในแง่บวกว่า พวกตนเห็นแนวโน้มที่โลกกำลังฟื้นตัวขึ้นจากการะบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่ยังคงค้องมีการกระตุ้นให้ผู้คนระมัดระวังตัวเองต่อไป โดยเมื่อวานนี้ นพ.แอนโทนี ฟาวชี หัวหน้าสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

แต่ในการออกมาให้ความเห็นในครั้งเดียวกัน ฟาวชีระบุว่าอัตราเสียชีวิตจากโควิด-19 ในรายวันยังคง “สูงอย่างไม่อาจยอมรับได้” พร้อมย้ำว่า “เรายังไม่ได้อยู่ในที่ที่เราควรจะอยู่ หากเราจะสามารถ 'อยู่กับไวรัส' ได้” นอกจากนี้ ฟาวชีย้ำว่า เชื้อกลายพันธุ์โควิด-19 ตัวใหม่ อาจอุบัติขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้

สหรัฐฯ เพิ่งให้การรับรองการใช้วัคซีนโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่กำลังระบาดมากที่สุดในประเทศไปก่อนหน้านี้ โดยทางการสหรัฐฯ ขอให้ประชาชนเดินทางมารับวัคซีนตัวใหม่ให้ทันเวลา

เมื่อสัปดาห์ก่อน ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการ WHO ได้ออกมาระบุว่า โลก “ยังไม่เคยอยู่ในจุดที่มีตำแหน่งที่ดีกว่าเดิม ในการยุติการระบาดใหญ่ลงได้” ก่อนที่จะกล่าวว่า “เรายังไม่ถึงจุดนั้น แต่จุดจบมองเห็นอยู่ได้ในระยะไกลออกไป”

สำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนอีกว่า การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อีกด้วย โดยการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้พรากชีวิตแรงงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ไปกว่า 500,000 คน

ไบเดนยังกล่าวอีกว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบ “อย่างลึกซึ้ง” ต่อสุขภาพทางจิตของชาวสหรัฐฯ “สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป… ทัศนคิตของผู้คนต่อตนเอง ครอบครัวของพวกเขา สถานะประเทศชาติ และสถานะของชุมชนของพวกเขา” ไบเดนระบุอีกว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่แสนยาก ยากมาก”

ปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกไปแล้วกว่า 6.5 ล้านราย นับตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดไปทั่วทุกมุมโลก โดยสหรัฐฯ มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงสุด ตามมาด้วยอินเดียและบราซิล


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-62959089?fbclid=IwAR0FuPXnP2q-cwNSYhREKPpZUbVZmn9oH5MOj_Bn91JRlB06oBF3rvQtUOI