จุฑาพร เกตุราทร โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน กล่าวว่า เวิลด์แบงก์ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 1.7% จากเดิม 3.0% และเตือนว่าเศรษฐกิจโลกอยู่บนความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยก่อนหน้านี้องค์การการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลงเหลือ 2.7% จาก 2.9% ซึ่งเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้คาดการณ์ไว้แล้ว โดยหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะไม่ย่ำแย่และจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง โดยไอเอ็มเอฟยังลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงเหลือเพียง 3.7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4% ในขณะที่ธนาคารโลกลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเหลือ 3.6% จากที่คาดการณ์ไว้ 4.3% ซึ่งปรับลดค่อนข้างมาก ซึ่งหากยังบริหารแบบเดิมๆ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็จะถูกปรับลดการเติบโตลงเรื่อยๆ เหมือนตลอด 8 ปีที่ผ่านมาที่ประเทศไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอดจากที่ ไอเอ็มเอฟและ เวิลด์แบงก์วิเคราะห์ไว้เอง ซึ่งปีนี้การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้น้อยมากและอาจจะถึงกับติดลบได้เลย จากที่การส่งออกได้ติดลบในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 5.89% ทำให้เงินเฟ้อทั้งปีของปี 2565 อยู่ที่ 6.08% เป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 24 ปี แสดงถึงราคาข้าวของที่แพงขึ้นอย่างมาก ประชาชนน่าจะต้องเดือดร้อนกันมาก เพราะรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย อีกทั้งรัฐบาลได้ขึ้นค่าไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้ จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อมากยิ่งขึ้น ยังดีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้ทักท้วงไว้ทำให้รัฐบาลไม่กล้าขึ้นค่าไฟฟ้าไปถึงหน่วยละ 5.72 บาท แต่การขึ้นมาที่ หน่วยละ 5.33 บาทก็ต้องถือว่าหนักมากแล้ว โดยควรจะต้องหาทาง ลดค่าไฟฟ้าลงโดยแก้ไขที่สาเหตุ ไม่ใช่แค่ซื้อเวลาเพื่อรอเวลาที่จะขึ้นราคาอีก โดยคาดการณ์กันว่าเงินเฟ้อในปี 2566 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.1% ซึ่งก็ยังสูงมากพอควร
ทั้งนี้ ปัญหาราคาค่าไฟฟ้าที่แพงมหาโหดได้เริ่มส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจแล้ว และจะยิ่งส่งผลกระทบอย่างมากในปลายเดือนนี้เมื่อต้องจ่ายบิลค่าไฟฟ้าในอัตราใหม่ซึ่งจะสูงมาก ภาคธุรกิจคงจะต้องปรับราคาสินค้าและบริการกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนที่ต้องจับจ่ายใช้สอยกันในราคาที่แพงขึ้น ซ้ำเติมกับเงินเฟ้อเดิมที่แพงอยู่แล้ว โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเรียกร้องอีกครั้งเพราะหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะภาคส่งออกที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นที่ต้นทุนไฟฟ้าที่ถูกกว่าไทยมากโดยเฉพาะจากประเทศเวียดนาม นอกจากนี้แม้กระทั่ง โรงพยาบาล โรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว สถานบันเทิง ร้านสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นปริมาณที่มากต่างบ่นกันอย่างมากว่าจะอยู่กันไม่ไหวหากค่าไฟฟ้ายังสูงขนาดนี้และอาจจะสูงขึ้นอีก
"รัฐบาลที่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนจะต้องเร่งแก้ไข และบรรเทาทุกข์ของประชาชนอย่างเร่งด่วน มิใช่เพิ่มภาระให้ประชาชนไปเรื่อยๆ เพื่อเอาใจคนบางกลุ่มเท่านั้น คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่านโยบายที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยประกาศไว้ชัดเจนที่จะลดราคา น้ำมัน ไฟฟ้า และ ก๊าซหุงต้ม จะสามารถทำได้จริง และจะช่วยลดภาระให้กับประชาชนได้ในทันที หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล อีกทั้งจะลดอัตราเงินเฟ้อได้ด้วย ซึ่งได้เตรียมแผนงานไว้แล้ว ขอให้ประชาชนเชื่อใจและมั่นใจได้ เพราะทุกนโยบายพรรคเพื่อไทยพูดแล้วทำได้จริงมาตลอด และจะแก้ปัญหาของประเทศได้" จุฑาพร กล่าว