สภาล่างสหรัฐฯ ลงมติประณาม 'โดนัลด์ ทรัมป์' กรณีทวีตเหยียดเชื้อชาติ ส.ส.หญิงจากพรรคเดโมแครต แม้ทรัมป์จะออกมาปฏิเสธว่า เขาไม่ได้เหยียดเชื้อชาติ แต่กระแสวิจารณ์ยังคงไม่มีทีท่าจะลดลง
หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงจากพรรคเดโมเครตเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากว่า ส.ส.หญิง กลุ่มนี้ได้ออกมาวิจารณ์นโยบายอพยพของประธานาธิบดีทรัมป์ พร้อมโจมตีถึงสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของผู้อพยพในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยในทวิตเตอร์ของทรัมป์ กล่าวว่า เป็นอะไรที่น่าสนใจดีที่ได้เห็น ส.ส.หญิง หัวก้าวหน้าจากพรรคเดโมเครต เข้ามาแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวในสหรัฐฯ ประกาศเสียงดังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในโลกควรจะทำงานอย่างไร ทั้งที่พวกเธอล้วนมาจากประเทศที่มีรัฐบาลที่หายนะและเลวร้ายขั้นสุด อีกทั้งยังเป็นรัฐบาลที่มีการคอร์รัปชันและไร้ความสามารถที่สุดอีกด้วย
นายทรัมป์ยังได้กล่าวขับไล่ ส.ส.หญิงกลุ่มนี้ให้กลับประเทศที่เป็นรากเหง้าของตนเองอีกว่า ทำไมพวกเขาไม่กลับไปแก้ปัญหาในประเทศที่ผุพังและเต็มไปด้วยอาชญากรรมของตัวเองก่อน แล้วค่อยกลับมาบอกรัฐบาลสหรัฐฯว่าควรแก้ไขปัญหาอย่างไร แม้ไม่ได้ระบุชื่อ ส.ส.หญิง คนใด แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเขาหมายถึงใครบ้าง เมื่อพิจารณาจากที่สัปดาห์ก่อน ส.ส.หญิงผิวสีจากเดโมแครต 4 คน คือ อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตซ ตัวแทนนิวยอร์ก , ราชีดา ทลีบ ตัวแทนมิชิแกน , อิลฮาน โอมาร์ ตัวแทนมินนิโซตา และอยานนา เพรสลีย์ ตัวแทนแมสซาชูเซตส์ ได้ออกมาวิจารณ์นโยบายกีดกันผู้อพยพของนายทรัมป์
ทั้งนี้กลุ่ม ส.ส.หญิง 4 คน มีเพียง อิลฮาน โอมาร์ เกิดในโซมาเลียและโตมากับพ่อเพียง 2 คนเนื่องจากแม่ของเธอได้เสียชีวิตไปตอนเธออายุเพียง 2 ขวบ ก่อนจะอพยพหนีสงครามมาเติบโตในสหรัฐฯ ตั้งแต่เธออายุได้เพียง 10 ขวบ จนได้สัญชาติสหรัฐฯ ขณะที่ อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตซ เกิดและติบโตในนิวยอร์ก โดยครอบครัวของเธอเป็นชาวเปอร์โตริโก , ราชีดา ทลีบ เกิดในครอบครัวชาวปาเลสไตน์ที่อพยพมา และอยานนา เพรสลีย์ เป็นแอฟริกัน-อเมริกัน
ทางด้าน อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตซ หรือที่สื่อเรียกกันอย่างกว้างขวางว่า AOC ก็ออกมาทวีตตอบโต้ประธานาธิบดีโดยเธอระบุว่า เธอเกิดและเติบโตในสหรัฐฯ และที่ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธนั้นเป็นเพราะเขาไม่สามารถจินตนาการถึงชาติที่มีพวกเรารวมอยู่ได้
ทางด้าน แนนซี เปโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และเป็นผู้ที่ถูกอเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตซ วิจารณ์เรื่องการทำงานในนโยบายผู้อพยพเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งยังยอมรับว่าตัวเธอและส.ส.รุ่นใหม่มีความเห็นไม่ตรงกันอยู่บ่อยครั้ง แต่เปโลซีก็ออกมาทวีตปกป้อง ส.ส.ทั้ง 4 คน พร้อมทั้งวิจารณ์ตอกย้ำว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นโรคซีโนโฟเบีย หรือ หวาดกลัวชาวต่างชาติ และเขาควรทำงานกับ ส.ส.ในนโยบายผู้อพยพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน เพื่อสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความเป็นอเมริกัน และยังเรียกร้องให้หยุดเหยียดเชื้อชาติ
นอกจากนี้ ผู้สนับสนุนจากฝั่งพรรคริพับลิกัน อย่าง เมแกน แมคเคน ลูกสาวของจอห์น แมคเคน ก็ได้ออกมาวิจารณ์ว่า นี้เป็นข้อความที่มีการเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ตอบคำวิจารณ์ของนักการเมืองอย่างทันทีทันใด
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มส.ส.หญิงที่ถูกทรัมป์โจมตีได้ออกมาแถลงข่าวโต้กลับอย่างดุเดือดว่า การทวีตเหยียดเชื้อชาติของทรัมป์เป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนไปสนใจที่นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล แทนที่จะสนใจคำพูดของประธานาธิบดี และถึงเวลาแล้วหรือยังที่ชาวอเมริกันจะถอดถอนนายทรัมป์ออกจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเสียที
เมื่อกระแสวิจารณ์เริ่มรุนแรงขึ้น นายทรัมป์ก็ออกมาทวีตปฏิเสธเสียงแข็งว่า ทวีตเหล่านั้นของเขาไม่ใช่ข้อความเหยียดเชื้อชาติใด ๆ และเขาก็ไม่มีความเหยียดเชื้อชาติอยู่ในตัวเลย การลงมติที่ว่าก็เป็นเพียงเกมลวงของพรรคเดโมแครต ผู้สนับสนุนรีพับลิกันทั้งหลายต้องไม่แสดงจุดอ่อนออกมา และไม่หลงกลที่เดโมแครตวางไว้เด็ดขาด
จนกระทั่งล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ที่มีพรรคเดโมแครตเป็นเสียงข้างมาก ลงมติให้ประณามคำพูดเหยียดเชื้อชาติโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยระบุว่าเป็นคำพูดซึ่งสร้างความชอบธรรมให้กับความกลัวและความเกลียดชังต่อชาวเม็กซิกันและคนผิวสี โดยการลงมติครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยคะแนนเสียง 240 - 187 เสียง ในจำนวนนี้ มี ส.ส.จากพรรครีพับลิกัน 4 คน และส.ส.อิสระที่เคยอยู่พรรครีพับลิกันอีก 1 คนที่ร่วมโหวตให้ประณามทรัมป์ด้วย
สภาล่างได้ประณามคำพูดเหยียดเชื้อชาติของทรัมป์ พร้อมระบุว่า ผู้อพยพมีความหมายในทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์อเมริกัน และ “ชาวอเมริกันทั้งหมด ยกเว้นลูกหลานของคนพื้นเมืองและชาวแอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาส ล้วนเป็นผู้อพยพหรือลูกหลานผู้อพยพทั้งนั้น” อีกทั้งความชาตินิยมไม่ได้ตัดสินกับด้วยเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ แต่ด้วย “การอุทิศตนต่ออุดมการณ์ตามรัฐธรรมนูญ ความเสมอภาค เสรีภาพ การโอบรับความหลากหลาย และประชาธิปไตย” ต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หลังมีการผ่านมติประณามทรัมป์แล้ว อัล กรีน ส.ส.ของเดโมแครตได้เสนอให้มีการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี โดบเขาระบุว่า ทรัมป์ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อันทรงเกียรติ ถูกดูหมิ่น ล้อเลียนและเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ผู้นำพรรคเดโมแครตปฏิเสธที่จะยื่นเรื่องถอดถอนทรัมป์ แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกในพรรคมากขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าเหตุการณ์ความรุนแรงและการคุกคามทางโซเชียลมีเดียในครั้งนี้ทำให้คนจำนวนมากมองว่านี่คือทวีตที่สร้างความเกลียดชังอย่างชัดเจนและถูกวิจารณ์อย่างหนักไปทั่วโลก แต่ทวิตเตอร์กลับมองว่าทวีตของทรัมป์ไม่ได้มีเนื้อหาผิดกฎการใช้งานแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ผิด
ปกติแล้วทวิตเตอร์มีนโยบายแบนข้อความที่มีเนื้อหาทำร้ายหรือปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น โดยเฉพาะการกล่าวโจมตีผู้อื่นด้วยเหตุผลเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา อายุ หรือร่างกาย ซึ่งทรัมป์เคยทวีตข้อความลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยถูกทวิตเตอร์แบน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์ซึ่งมีผู้ติดตามบนทวิตเตอร์ 61.9 ล้านคน มีมูลค่าทางธุรกิจต่อทวิตเตอร์มากเกินกว่าที่จะถูกแบน ซึ่งทวิตเตอร์มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016
อย่างไรก็ตาม ทวิตเตอร์เคยอธิบายสาเหตุที่ไม่แบนโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าในฐานะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทวีตของทรัมป์มีคุณค่าเป็นข่าวสารสำคัญที่ประชาชนควรรับรู้ และไม่ควรถูกปกปิดเพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันถกเถียงประเด็นต่าง ๆ ที่ทรัมป์ทวีต ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย