นายสุริยะใส กตะศิลา ได้โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อวานนี้ (23 ก.ย.61) ผมได้รับเชิญจาก โรงเรียนการเมืองของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) (อยู่ระหว่างการพิจารณารับรองจาก กกต.) ไปบรรยายให้กับ นักศึกษารุ่นที่ 1 ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรคประมาณ 70 คน
ผมได้รับมอบหมายให้บรรยายในหัวข้อการเมืองไทยร่วมสมัยร่วมกับรศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร โดย อ.จักษ์ ได้บรรยายถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาจนถึงช่วงรัฐธรรมนูญ 2540 ส่วนผมรับผิดชอบบรรยายช่วงความขัดแย้งทาง การเมืองตั้งแต่ปี 2548 มากระทั่งปัจจุบัน
ผมพยายามชี้ชวนให้นักศึกษาถอดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองและช่วยกันหาทางออก ไปในคราวเดียวกันด้วย ห้องเรียนห้องนี้ค่อนข้างเห็นตรงกันว่าประเทศเราแม้จะดูสงบเรียบร้อยมากขึ้นแต่ดูเหมือนยังไม่ปลอดภัยจนวางใจเสียทีเดียว
ในขณะเดียวกันภารกิจของประชาชนผู้รักชาติบ้านเมืองก็ดูเหมือนยังไม่จบยังมีงาน ที่เราต้องทำกันต่อ
นักศึกษาต่างเห็นตรวกันว่าการคั้งพรรคการเมืองที่เป็น “พรรคของประชาชน” อย่างแท้จริงให้ประชาชนร่วมกำหนดนโยบายกำหนดคณะผู้บริหารพรรค กำหนดผู้ลงสมัครของพรรค หรือกำหนดชะตากรรมของพรรคได้โดยตรง น่าจะเป็นความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันและอยู่ในเงื่อนไขที่พลังของความเสียสละในน้ำมวลมหาประชาชนสามารถร่วมแรงร่วมใจกันได้มากที่สุด
ในห้องเรียนยังมองว่า วิกฤติปัญหาที่ทำให้การเมืองไทยล้มเหลวและเกิดความขัดแย้งแตกแยก ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งนั้นปฎิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากทุนผูกขาดสามานย์และนักเลือกตั้งบางส่วนเข้ามายึดอำนาจรัฐและกอบโกยเอาประโยชน์จนเกิดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร
พลังของประชาชนอาจจะขับไล่ โค่นล้มได้ในบางครั้งบางครา แต่ความชั่วร้ายเหล่าเรานั้นก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ถ้าเราไม่ไปแก้ที่ต้นเหตุโดยเฉพาะการ พยายามทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีรูปแบบและเนื้อหาที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยให้มากที่สุดไม่ใช่นำเข้าจากฝรั่งตะวันตกโดยไร้การกลั่นกรอง ส่งผลทำให้คุณค่าของประชาธิปไตยถูกลดทอนหรือแค่การเลือกตั้งและเรื่องของเสียงข้างมาก ที่กลายเป็นอำนาจเด็ดขาดไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด
นี่เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่คำว่า “ธรรมาธิปไตย” ได้กลายเป็นอุดมการณ์หนึ่งของพรรครวมพลังประชาชาติไทยและดูเหมือนได้รับความสนอกสนใจในห้องเรียนครั้งนี้
“ธรรมาธิปไตย” คือความพยายามจะพลิกเปลี่ยนการเมืองไทยจากประชาธิปไตยที่มีลักษณะเอาอำนาจเอาเสียงข้างมากนำทาง เปลี่ยนมาเป็นเอาความชอบธรรม ความดีความถูกต้องมานำทาง
นี่น่าจะเป็นลักษณะประชาธิปไตยที่มีความสอดคล้องเหมาะสมสังคมไทยที่สุด
จริงๆในห้องเรียนมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างเข้มข้นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้ผ่านประสบการณ์เคลื่อนไหวแนะนำมวลมหาประชาชนมาแล้ว
ผม คิดว่าโรงเรียนการเมืองของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ถือเป็น “นวัตกรรมทางการเมือง” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่พรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับผู้ปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่พรรค กรรมการบริหารกรรมการสาขาพรรค กระทั่งผู้ที่จะสมัคร ส.ส. ก็ต้องผ่านหลักสูตรต่างๆที่ได้มีการออกแบบไว้แล้วเป็นรุ่นๆไป
“โรงเรียนการเมือง” มิเพียงแต่ เป็นที่บ่มเพาะและสรรค์สร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ใหม่เพื่อทำงานให้บ้านเมืองเท่านั้น แต่นี่จะเป็นเวทีสำคัญในการระดมการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งที่เป็นสมาชิกพรรคและไม่ได้เป็นให้มีเวทีถกแถลง ร่วมกันเสนอทางออกเสนอนโยบายและแนวทางในการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
นี่แหละคือหัวใจของ “พรรคการเมืองของประชาชน” อย่างแท้จริง