ไม่พบผลการค้นหา
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ปัญญาชนสาธารณะ นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของยุคสมัย เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2566 ด้วยวัย 83 ปี

หากนึกถึงนิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้คนน่าจะนึกถึงบทความกระตุ้นสมองในมติชนสุดสัปดาห์ หรืองานชิ้นสำคัญอย่าง 'ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรม และประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์' หรือ 'ลัทธิพิธีเสด็จพ่อ ร.5' หรืออื่นๆ อีกมากมาย

แต่น้อยคนจะรู้ว่านิธิเคยเป็นคอลัมน์นิสต์ตอบปัญหาหัวใจ ความสัมพันธ์ และเรื่องจิปาถะ ในนิตยสารแพรวอยู่ยุคหนึ่งในช่วงราวทศวรรษ 2530 ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเขาทำงานนี้อยู่กี่ปี่ และทำโดยไม่เปิดเผยตัว จนเมื่อนิธิเสียชีวิตนักวิชาการหลายคนได้เขียนไว้อาลัยโดยพูดถึงบทบาทนี้ของเขา

‘รังรอง’ คือนามปากกาของเขาภายใต้คอลัมน์ ‘แล้วเราก็ปรึกษากัน’ ในนิตยสารแพรว เป็นการโต้ตอบกับผู้อ่านที่ส่งคำถามมาขอคำแนะนำจิปาถะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ว่ากับพ่อแม่ สามี ภรรยา เพื่อน ฯลฯ เสมือนหนึ่งเป็น ‘พี่อ้อย-พี่ฉอด’ ที่คอยตอบปัญหาหัวใจในยุคสมัยนี้

ในโอกาสนี้ ‘วอยซ์’ คัดสรรตัวอย่างบางส่วนจากคอลัมน์ดังกล่าวในนิตยสารแพรวที่วางแผงในปี 2530 เพื่อให้ได้ระลึกถึงนิธิในอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากจะได้เห็นมิติของวิธีคิด และศิลปะการอธิบายชวนผู้อ่านคิดในมุมใหม่ๆ ของนิธิแล้ว ยังได้เห็นบริบทของสังคมไทยในช่วงเกือบ 40 ปีที่แล้วด้วย


นิตยสารแพรว รังรอง


เกลียดแม่

รังรอง,

เราเขียนถึงคุณหลายรอบแล้วล่ะ แต่เรียบเรียงความคิดไม่ค่อยจะจบสักที หวังว่าคราวนี้คงจะจบ เผื่อว่าเราจะหาทางออกสำหรับความคิดของตัวเองที่ดีขึ้นบ้าง

เราเป็นลูกคนกลางของพ่อ-แม่ ในจำนวน 5 คน เขาเลิกกันตอนเราเริ่มจำความได้พอดี ศาลตัดสินให้เราอยู่กับพ่อ แต่กว่าจะตัดสินกันได้ ทั้งพ่อ-แม่-ศาลรู้ไหมว่า ความจำครั้งแรกในชีวิตของเราคือ พ่อ-แม่ รุมทึ้งเราเพียงใด ด้วยความโกรธแค้นกัน เขาแทบจะผ่าเราเป็นครึ่งเพียงเพราะจะเอาชนะกัน ตัดสินแล้วก็ไม่ใช่จะแล้วเสร็จแค่นั้น แม่ขโมยเราจากพ่อเสมอ พ่อก็ไปทวงกลับมา ไม่ว่าจะมีเวลาอยู่กับฝ่ายไหน คำพูดของแต่ละฝ่ายก็คือการประณามกัน เรารู้เมื่อโตขึ้นว่าทั้งสองฝ่ายผิดเท่าๆ กันในเรื่องเงื่อนไขที่ทำไม่ให้อยู่ด้วยกัน แต่เนื่องจากเราอยู่กับพ่อ ความรู้สึกผูกพันจึงมาข้างพ่อมากกว่า แม้ว่าพ่อจะเคยทำโทษเรารุนแรงขนาดไหนก็ตาม หลังจากไปพรากเรามาจากแม่ได้แล้ว

ตอนที่เลิกกัน พ่อ-แม่แบ่งสมบัติกันคนละครึ่งเพราะตั้งตัวมาด้วยกัน แต่พ่อส่งเสียลูกทั้งหมดเรื่องการเรียน ในขณะที่แม่ไม่เคยรับผิดชอบ ลูกทุกคนอยู่ในชั้นเรียนดีเยี่ยม สอบได้ที่ 1 ตลอดรวมทั้งเราด้วย พี่เราสองคนอยู่กับพ่อ เดี๋ยวนี้มีงานทำรับผิดชอบตัวเองได้และเผื่อแผ่มายังพ่อแม่น้องๆ ได้ด้วย น้องสองคนอยู่กับแม่ ตอนนี้เป็นคนไร้ค่า ไม่รู้จักโต เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมทำงานประจำ เรียน ปวช.ยังไม่จบด้วยซ้ำ

เราเองเติบโตมาด้วยความขมขื่น พ่อมีแม่ใหม่หลังจากเลิกกับแม่ไม่นานนัก ก็เป็นแม่เลี้ยงนิยายน้ำเน่าทั่วไปน่ะแหละ แต่เราอดทนเพราะมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือให้ได้เท่านั้นเอง ตื่นมาส่งของตี 2 ถึง 10 โมงเช้า ไปโรงเรียนสาย นับวันนับคืนที่จะเติบโตรับผิดชอบตัวเองได้ ส่วนดีส่วนเดียวที่ได้จากพ่อคือ ความขยันและอดทน ทั้งจากงานหนักและการโขกสับจากแม่เลี้ยง

วันที่พ่อทะเลาะกับแม่เลี้ยง พ่อจะด่าผู้หญิงที่เคยเป็นเมียทุกคนโดยเฉพาะแม่ว่าขี้เกียจแม้กระทั่งเลี้ยงลูก น้องคนหนึ่งของเราหูหนวกเพราะแม่ไม่ยอมให้กินนมแม่ และนอนกินนมขวดเอง แม่ไปกับผู้ชายอื่น ในขณะที่นมไหลเข้าหู เรานับวันที่จะพิสูจน์ว่าความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ใช่ความจริง แต่แม่ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะมาช่วยลดข้อกล่าวหาของพ่อได้เลย แม่เปลี่ยนผู้ชายครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยมาหาเราแม้ในยามที่เราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเราต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บกับเสื้อกันหนาวบางๆ ตอนตี 2 บนมอเตอร์ไซค์เพื่อไปส่งของ ลำพังคนเดียวระยะทาง 20 กว่ากิโล แม่ซึ่งมาหาเรา 2 ครั้งหลังจากเราเข้าเรียนประถมจนจบมหาลัย ครั้งแรกมาบอกให้เราออกไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อหารายได้ได้เร็วๆ ครั้งที่ 2 เพื่อมาขอเงินทั้งๆ ที่เราอดอาหารมื้อกลางวันเพื่อจะซื้อหนังสือหรือเสื้อฟอร์มสักตัว ตอนนั้นเราไม่มีจะให้จริงๆ แต่ตอนนี้เรามีเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากให้

ตอนนี้เราเรียนจบพยาบาลจ้ะ เพราะสอบได้ทุน เป็นวิธีเดียวที่เราจะมีอาชีพที่ดีได้อย่างสบายกว่าเรียนอย่างอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด เราได้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น หลังจากคิดว่าตัวเองไร้ค่ามานาน เราอยู่แผนกเด็ก ได้มีโอกาสชดเชยความรู้สึกที่เราขาดไปเมื่อตอนเด็กๆ ให้แก่เด็กๆ ทั้งใน รพ.และนอกรพ. มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรารักน้องมาก ให้ความรัก+เอาใจใส่มากเท่าที่โอกาสให้ได้ เราจะมีความสุข มีชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้านทีเดียวตอนนี้ ถ้าไม่มีอะไรมาสะกิดใจให้นึกถึงแม่ ยิ่งเราทุ่มเทให้ความเอาใจใส่เด็กๆ มากเพียงใด เรายิ่งได้ข้อพิสูจน์เพิ่มขึ้นอีกมากมายว่า แม่ที่ไม่รักลูกแม้เพียง 1 ใน 1000 ของที่รักตัวเองนั้นมีอยู่มากมายเหลือเกิน แม่ที่ปล่อยให้ลูกถูกข่มขืนตั้งแต่อายุ 12 เพราะกลัวพ่อเลี้ยงเด็กจะทิ้งตัวเอง ก็เลยปล่อยลูกสาวให้เป็นเมียน้อยตัวเอง แม่ที่ดึงผ้าห่มจากลูกที่ไม่สบายอยู่บนเตียงรพ.ช่วงอากาศตอนตี 4 กำลังหนาวเหน็บ แม่ที่ทุบตีลูก แม่ที่ให้ลูกหาเงินเลี้ยงแม่ตั้งแต่ 7-8 ขวบโดยตัวเองไม่ทำอะไร แม่ที่ตัวเองต้องกิ่นอิ่มนอนอุ่นก่อน ลูกเป็นยังไงก็ช่าง ฯลฯ เรารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปกับเด็กเหล่านั้นด้วยเสมอ และรู้สึกว่านั่นแหละแม่ของเราล่ะ

ทุกวันนี้แม่มาหาเราบ่อยขึ้น มาขอเงินจ้ะ เราก็ให้บ้างไม่ให้บ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่ส่วนใหญ่คือไม่ให้ เพราะเพียงแค่เห็นหน้าแม่ เราก็จะจมอยู่ในกองทุกข์ เจ็บป่วยด้วยอาการใดอาการหนึ่งเสมอ เศร้าหมองและไร้ความสุขไปหลายวัน ขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่อยากจะให้อะไรแก่แม่ ไม่อยากเห็นหน้า อยากบอกว่าเกลียดแม่ เกลียดผู้หญิงทุกๆ คน ที่ไม่รับผิดชอบลูก แต่ก็รู้สึกว่าเป็นบาป-ผิด แม่เองก็เอาเราไปประจานว่าเนรคุณ ไม่เห็นแค่คุณที่อุ้มท้องมา เราอยากบอกด้วยซ้ำว่า ถ้าเลือกได้จะไม่เกิดมามีชีวิตที่ทุกข์ระทมขมขื่น ท่ามกลางความเกลียดชังทั้งหลาย พี่สาวก็เกลียดเราด้วย พี่ชายก็พยายามข่มขืนเราหลายครั้งตอนเราอายุ 11-12 เราไม่เคยว่าอะไรแม่ เพียงแต่เราเฉยเมยไม่พูดไม่จา แต่เรารู้ว่าสักวันหนึ่ง เราจะต้องรู้สึกบาป ผิดมากขึ้น และเคารพตัวเองน้อยลงอย่างแน่นอน ถ้าทนไม่ได้ที่จะบอกแม่ว่า เราเกลียดแม่ ไม่อยากเจอแม่ กับคนอื่นเราสามารถที่จะเมตตาและให้อภัยได้เสมอ แต่เราทำใจอย่างนั้นกับแม่ไม่ได้

นี่คือทุกข์ของเรา ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนไม่ดีพอเลย และสิ่งที่เราเรียกว่าทำดี (กับคนอื่น) เป็นเพียงความตอแหลของเราเท่านั้น มีอะไรแม้แต่สักน้อยนิดที่ทำให้คิดถึงแม่ ความโกรธแค้นชิงชังจะพุ่งพล่านไปทั้งตัว กว่าจะสงบลงได้ เราก็แทบจะบ้าและเจ็บปวดไปหลายวันทีเดียว เราหวังว่าสักวันหนึ่งถ้าเรามีลูก เราจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด และความซาบซึ้งในขณะคลอดลูกคงจะลดความรู้สึกชั่วร้ายเหล่านี้ลงได้บ้าง แต่เราก็ตระหนักชัดถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของตัวเอง ทำให้เรารู้ว่า เราไม่มีวันที่จะมีวันนั้น เราป่วยทางจิตและวุฒิภาวะเรายังไม่เหมาะที่จะแต่งงานมีครอบครัว เราคงเบรคดาวน์ถ้าครอบครัวที่เราฝันอยากจะมีมานานมีอันต้องจบลงหรือแหลกสลายเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ

จาก

คนป่วยที่ไม่ยอมกินยา

แล้วเราก็ปรึกษากัน

นามสมมติของคุณนั้นบอกให้รู้แล้วว่า ไม่มีคำแนะนำใครจะช่วยได้ ตราบเท่าที่ผู้ป่วยไม่ยอมกินยา ความเจ็บปวดจากโรคภัยก็จะคงยังอยู่ต่อไป

ทั้งนี้เพราะเหตุผลใดๆ อันควรไม่ควรนั้น ดูคุณก็เข้าใจเป็นอันดีอยู่แล้ว ถึงพูดไปก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตาหรือการให้อภัยต่อแม่ก็ตาม

แต่เนื่องจากคุณอยู่ในอาชีพพยาบาล คุณก็คงจะรู้อยู่แล้วว่ามีโรคภัยไข้เจ็บอยู่มากมายทีเดียว ที่สามารถหายได้โดยไม่ได้ใช้ยาอะไรช่วยเลย เพราะที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นยาได้ดีกว่าระบบของร่างกายเราเอง การรักษาที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่จะเผชิญและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉันใดฉันนั้น ความเจ็บป่วยทางใจของคุณเวลานี้ อาจทุเลาขึ้นจนหายขาดไปได้ เมื่อปล่อยให้กาลเวลาได้ทำงานของมันต่อไปบ้าง แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำให้ใจของคุณเองมีสุขภาพอนามัยที่ดีเพื่อรักษาตัวเองได้ด้วย

จะทำให้ใจอยู่ในสภาพอย่างนั้นได้คงต้องหันกลับมาทำความเข้าใจอย่างลึกๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ไม่ใช่รับรู้แต่ความขมขื่นปวดร้าว หรือค่านิยมของความกตัญญูรู้คุณซึ่งสังคมกำหนดขึ้นจากกรณีปกติ ไม่ใช่กรณีพิเศษแบบของคุณ

ความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้านั้นอาจเป็นความดีในตัวของมันเอง หรือเป็นกลไกอย่างหนึ่งของสังคมนับแต่โบราณกาลกำหนดขึ้น เพื่อช่วยให้เกิดความผาสุกและความเจริญแก่สังคม เราจะไม่เข้าไปตัดสินชี้ขาดในเรื่องนี้ แต่อยากให้คุณเห็นว่าความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้านั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นกลไกทางสังคมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เด็กจะได้รับการเลี้ยงดู อบรม และฝึกฝนอาชีพได้ก็อาศัยคำสอนเรื่องความกตัญญูรู้คุณเพื่อให้การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่เป็นไปโดยสะดวก ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นหลักประกันว่าในวัยชรานั้น พ่อแม่ก็ยังได้รับการดูแลให้ได้รับความสุขความสบายตามสมควร

แต่ในขณะเดียวกัน สังคมก็หวังว่า พ่อแม่ต้องปฏิบัติตามที่มุ่งหวัง คือ ดูแลอบรมเลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี ความกตัญญูเมื่อมองด้วยสายตาของกลไกทางสังคมเช่นนี้แล้ว ก็เป็นภารกิจที่ต้องกระทำแก่กันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพึงปฏิบัติแต่ข้างเดียว

เท่าที่คุณเล่ามาในจดหมายนั้น ผมเห็นว่าคุณได้ปฏิบัติต่อแม่ของคุณ ‘พอสมควร’ แล้ว กล่าวคือ ยังให้ความเคารพอยู่บ้าง อุปการะเท่าที่พอใจจะอุปการะ

ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่คุณจะต้อง ‘รัก’ แม่ที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนั้น ความรู้สึกไม่ผูกพันต่อแม่จึงไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด ส่วนความรู้สึกถึงกับ ‘เกลียด’ นั้นแม้ว่าน่าเห็นใจก็เป็นความรู้สึกที่ควรขจัดไปเสีย เพราะมันเร่าร้อน ไม่ให้ความสุขแก่ใครที่มีความรู้สึกนี้ต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเขาจะเป็นแม่หรือไม่ก็ตาม

ผมคิดว่าการขจัดความเกลียดที่ดีคือ ความเข้าใจความรู้สึกของตนเองให้ดี คุณต้องรู้สึกเกลียดแม่เพราะคุณรู้สึกว่าต้อง ‘รัก’ แม่ใช่หรือไม่ และเพราะรักแม่ไม่ได้จึงรู้สึกเสมอว่าเขาเป็นผู้ทำให้คุณล้มเหลว เพราะฉะนั้นสิ่งที่แรกที่เห็นจะต้องยอมรับความจริงเสียว่า คุณไม่ ‘ต้อง’ รักแม่อย่างเขาอื่น มีความรู้สึกตามธรรมชาติของคุณโดยไม่ไปบิดเบือนมัน

จากนั้นความเข้าใจและการให้อภัยน่าจะตามมาเอง

นิตยสารแพรว รังรอง

เมียน้อย

รังรองจ๊ะ

ตอนนี้เรามีแต่แพรวกับรังรองเท่านั้น บางเวลาเท่านั้นที่มีเขา แต่น้อยเหลือเกิน ความจริงเราอยากอยู่ใกล้ชิดเขามากกว่านี้ แต่ทำไงล่ะ ช่วยทีเถอะ เขาไม่ใช่ของเราคนเดียว ลูกเมียเขามี เราอยู่สภาพนี้ปีกว่าแล้ว เคยคิดเลิก และขอเลิกกับเขาไม่สำเร็จสักที บางครั้งเขาทำในหลายๆ อย่างที่เขาคิดว่าเราทนได้ เพราะเราไม่พูด ก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะให้พูดมาก น่ารำคาญ แต่บางทีเฉยมากไปยิ่งทำให้เหลิง เขารับผิดชอบและรักเราดีนั่นแหละ เสียแต่ชอบพูดจัง คนนั้นน่า... คนนี้คงอย่างนี้ เท่าโน้นเท่านี้ เอาเถอะธรรมดา ทั้งๆ ที่บางทีแสลงใจเราจัง หากเป็นรังรองจะคิดทำยังไง ขนาดเพื่อนเราแท้ๆ เขายังมีท่าทีจนน่าเกลียด ทั้งๆ ที่เราก็อยู่ตำตา เราโง่มั้ยรังรอง ความรู้สึกขณะนี้เสื่อมศรัทธาหัวใจเขามากขึ้นทุกวัน เราเหมือนลูกโป่งอัดแก๊สน่ะ มันคงระบิดสักวัน ทางไปเรามีนะ แต่มันเบื่อที่ต้องเริ่มต้นใหม่กับใครอีก คงนี้ไม่พ้นรอยเดิม หวังว่าจดหมายปรับทุกข์ของเราคงสมหวังนะจ๊ะ

เรา

แล้วเราก็ปรึกษากัน

ปัญหาของคุณนั้นน่าจะเป็นสองประเด็น

ประเด็นแรกก็คือ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความปวดร้าวใจ ฯลฯ ที่เกิดจากการเป็นเมียน้อย สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งปกติธรรมดา และแก้ไขอะไรไม่ค่อยจะได้มากนัก ถ้าชีวิตที่เป็นอยู่ขณะนี้มีความหมายต่อคุณมาก นี่เป็นราคาที่ต้องแลกเปลี่ยน

ประเด็นที่สองคือ ความน้อยเนื้อต่ำใจและความปวดร้าวที่เกิดจากการกระทำอันไม่มีน้ำใจของสามี นี่เป็นสิ่งที่แก้ไขได้หรือไม่ เช่น คุณย่อมมีสิทธิ์ในการชี้แจงให้เขามีวิจารณญาณต่อความรู้สึกของคุณในการกระทำบ้าง หากเขารักคุณ การคุยโตโอ้อวดเป็นดอนฮวนอย่างนั้นก็ไม่จำเป็น เพราะมันทำให้คนที่เขารักเจ็บปวด

หากประเด็นที่สองนี้แก้ไขก็ไม่ได้ (ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม) คงต้องหันกลับมาพิจารณาดูว่า การอยู่กับเขาเวลานี้มีความหมายต่อคุณมากอย่างที่คุณคิดจริงหรือ


นิตยสารแพรว รังรอง

สำคัญที่ตรงไหน

หวัดดีฮะรังรอง

รังรองเคยรู้สึกอิจฉาปนชื่นชมใครสักคนไหมฮะ ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอย่างนั้น คนคนนั้นเป็นตัวของตัวเองมากเลย เขามีลักษณะหลายอย่างที่ทำให้คนอื่นๆ สนใจ อยากจะใกล้ชิดกับเขา ที่สำคัญคือ เขาเป็นผู้หญิง แต่ทำอะไรๆ ได้หลายอย่างเหมือนผู้ชาย จะเรียกว่าทอมก็ได้ฮะ แต่ทำไมใครๆ ก็ยอมรับเขา แล้วก็สนใจอยากรู้อยากใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา เราอิจฉาเขาฮะ แล้วเราก็ชอบเขาด้วย แล้วก็รู้สึกอิจฉาเขามากขึ้นๆ ยิ่งเห็นเขาทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ยิ่งรำคาญใจไปใหญ่ เราให้ความสำคัญกับตัวเองมากไปรึเปล่าฮะ เวลาเราเห็นใครๆ ห้อมล้อมเขา เรายิ่งรู้สึกว่าเราด้อยกว่าเขา ทั้งที่เมื่อก่อนเราเคยเด่นในกลุ่ม แต่พอเขาเข้ามา เขากลับเด่นกว่าเรา เป็นที่ยอมรับมากกว่าเรา ... เราอิจฉาเขาชนิดที่แทบไม่อยากได้ยินชื่อเขาเลย รู้สึกเหมือนกำลังมีคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา เราอยากรู้ว่าเราจะปรับใจอย่างไร ความรู้สึกที่ว่านี้ถึงจะหายไป ทั้งอิจฉาทั้งชื่นชมนี่นะฮะ อยากให้เหลือแต่ความรู้สึกธรรมดาๆ เราจะคิดอย่างไรดีฮะ

ขอบคุณมากฮะที่กรุณาอ่าน

เอ๋ฮะ

แล้วเราก็ปรึกษากัน

ตรงกันข้ามทีเดียวแหละ คุณให้ความสำคัญแก่ตนเองน้อยไป

การที่คุณเห็นผู้อื่นทำอะไรได้ดีกว่า เด่นกว่าคุณ แล้วคุณพยายามจะทำให้ได้อย่างเขา พอพบว่าตัวเองทำไม่ได้ก็เกิดความอิจฉาริษยา นั่นก็แปลว่าคุณไม่ได้เห็นความสำคัญของตัวคุณเองเลย เพราะแม้แต่มาตรฐานของสิ่งที่ดีก็ยังต้องอาศัยมาตรฐานของคนอื่นเป็นเกณฑ์

คนจำนวนมากมองเห็นความสำคัญของตนเองมากไป คือ จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลแต่ผู้เดียว มองไม่เห็นคุณค่าหรือความดีงามของคนอื่น ยอมรับคนอื่นอย่างเสมอกันไม่ได้ การเห็นแต่ความสำคัญของตนเองย่อมไม่ดีแน่

แต่ตรงกันข้าม การไม่เห็นความสำคัญของตนเลยก็ไม่ดีเหมือนกัน คนทุกคนมีความดีและความสามารถแฝงเร้นอยู่ เจ้าตัวต้องพยายามค้นหาและพัฒนาความดีความสามารถนั้นออกมา ไม่จำเป็นว่าความดีความสามารถอันนั้นจะเหมือนกับผู้อื่น เราจึงไม่สามารถใช้ผู้อื่นเป็นแบบอย่างได้ตลอด เพราะคนแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก เราจะรู้จักศักยภาพของตนเองได้ก็ต้องเห็นความสำคัญของตัวเองด้วย จึงจะมีแรงมาค้นหาความดีกความเก่งของตนเอง

คุณควรชื่นชมความดีความสามารถของผู้อื่น ถูกแล้ว แต่ความดีความสามารถอย่างนั้นอาจไม่ใช่ธรรมชาติของคุณ คุณจึงต้องค้นหาไปที่ธรรมชาติของคุณเองว่ามมีความดีความสามารถอะไรที่จะพัฒมันขึ้นมา พร้อมๆ ไปกับรู้จักยอมรับความดีความสามารถของคนอื่นซึ่งย่อมแตกต่างจากคุณด้วย

โลกเรามันน่าอยู่และก้าวหน้าอยู่ได้ ก็เพราะความหลากหลายอย่างนี้ เรียนรู้ที่จะรักความหลากลาย และเราก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ความหลากหลายมันมีอยู่อุดมในโลกนี้


อยู่เพื่อลูก

เรียนคุณรังรองที่นับถือ

ต้อยตัดสินใจว่าจะเขียนหาคุณหรือเปล่าตั้งเกือบเดือนแน่ะ เคยเขียนหาคุณเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปรึกษาปัญหาคุณตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน คุณก็ตอบในหนังสือแพรว แล้วก็อ่านคอลัมน์คุณทุกฉบับ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีปัญหาเมื่อแต่งงานแล้ว ขณะนี้แต่งงานมีลูกแล้วค่ะ

ปัญหาของต้อยก็เหมือนกับผู้หญิงในสังคมเมืองไทยทั่วไป แต่ก็อดที่จะหาคนช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ คือ แฟนไปมีผู้หญิงใหม่ ตอนรู้แรกๆ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เฉยๆ แต่เขาไม่เคยเกรงใจเราเลย ถ้าเราไปมีผู้ชายใหม่สังคมนี้จะยอมรับไหม แรกๆ เคยคิดว่าจะประท้วงโดยการมีแฟนใหม่บ้าง ลองทำดูเหมือนกันนะคะ แต่ใจมันไม่มีความสุขเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทุกวันนี้อยู่ก็เพราะลูก เป็นคนเงียบๆ นะคะ เดี๋ยวนี้เลยยิ่งเงียบใหญ่ ผู้หญิงคนใหม่เขาก็ทราบนะคะว่ามีลูกแล้ว แต่เขาก็ไม่แคร์ คุณรังรองคะ คุณคิดว่าต้อยควรทำอย่างไร ควรหย่ากับเขาดีไหมคะ หรือจะอยู่ต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ

ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะสำหรับคำแนะนำของคุณ

ขอแสดงความนับถือ

ต้อย

แล้วเราก็ปรึกษากัน

ความเห็นแก่ลูกนั้นเป็นข้อดี เพราะเป็นเป้าหมายของการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน แต่ต้องให้แน่นะครับว่า จะทำอะไรไปภายหน้านั้นก็เพราะเห็นแก่ลูก

ลูกหรือเด็กต้องการอะไรจากพ่อบ้าง อย่างน้อยก็คงต้องการความรัก เวลาที่จะให้ความรัก ความเอาใจใส่ สามีคุณให้สิ่งเหล่านี้แก่ลูกหรือไม่ การที่เขามีผู้หญิงใหม่อีกคนหนึ่งได้ริบเอาสิ่งเหล่านี้ไปจากลูกหรือไม่

ถ้าเขายังเป็นพ่อที่ดีของลูก แต่เป็นผัวที่ไม่ดีของคุณ ก็อยู่กับเขาไปสิครับ เพราะเป้าหมายของคุณชัดเจนแล้วว่าเห็นแก่ลูก

และในทางตรงกันข้าม หากเขาหยุดเป็นพ่อที่ดี ไม่ได้ให้สิ่งจำเป็นดังที่กล่าวแก่ลูก ถึงจะมีพ่อหรือไม่มีพ่ออยู่ก็เหมือนกัน ร้ายไปกว่านั้นอาจทำให้เด็กมีปัญหามากเสียกว่าหย่าขาดจากกันไปให้พ้นๆ เสีย

แต่ทั้งหมดนี้เป็นการลดชีวิตของคนลงมาให้เหลือเพียงสูตรของตรรกะ ซึ่งละเลยแง่มุมอื่นๆ ของคน เช่น อารมณ์, จิตใจ, ความรัก, ศักดิศรี ฯลฯ แม้เป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล แต่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในคนทุกคน

เพราะฉะนั้นการตัดสินใจว่าจะหย่าหรือไม่หย่านั้นนอกจากต้องเห็นแก่ลูกแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าความรู้สึกนึกคิดของคุณเองก็มีส่วนในการตัดสินใจด้วย

คุณคาดหวังอะไรจากสามีในชีวิตสมรส การขาดสิ่งที่คุณคาดหวังไปทำให้ชีวิตสมรสที่เหลืออยู่มีคุณค่าเพียงพอจะรักษาไว้หรือไม่ ความคาดหวังที่ขาดไปนี้คงไม่ใช่ขาดไปทั้งหมด แต่ขาดไปบางส่วน ส่วนที่ขาดนี้สำคัญเพียงไร

คำตอบแก่สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครตอบแทนใครได้ ต่างคนต่างต้องคิดเอาเอง แต่คุณต้องตอบโดยซื่อสัตย์ต่อตนเอง

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อย่ากลัว การเป็นเมียหลวงไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายเท่ากับการเป็นแม่ม่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอาย

นิตยสารแพรว รังรอง

ภาษาใจ

สวัสดีค่ะ คุณรังรอง

เรามีปัญาหาคิดไม่ตก จนแต้มคิดไม่ออก เลยวอนให้คุณมาช่วยจุดประกายสว่างแก่ปัญญาเราทีเถิด จะเป็นพระคุณยิ่ง

คุณรังรองคะ ตั้งแต่จำความได้จนบัดนี้ความจำเริ่มเสื่อมถอย เราเก็บรักษาใจตนเองมาอย่างดีเยี่ยม และใจอยู่ติดตัวเราตลอดเวลาเลย... แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เรารู้สึกแปลกๆ คล้ายกับว่าดวงใจเรามันล่องหนหายไปไหนไม่รู้ ควานหาเท่าไรก็ไม่พบ สงสัยว่าคงมีเซียนมือดีแอบย่องมาลักใจเราไปเป็นแน่ แต่จะใช่ตาคนนั้นหรือเปล่า คนที่เจอกันโดยบังเอิญ และพบเขาทีไรเราหนีเขาทุกที ไม่แม้จะทักทายหรือสบตา ยิ่งหนีเขายิ่งตาม ขนาดสร้างกำแพงแน่นหนาก็ยังกันเขาไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่ลดละความพยายามอยู่ดี แต่ในที่สุดเราก็ต้องสูญเสียใจไป ทั้งที่ทะนุถนอมมาอย่างดี เราเจียมใจตนเองเสมอ เพราะไม่อยากถูกเขาย่ำยีใจให้ปวดร้าว ยอมตายดีกว่านะ เราจะอยู่อย่างไรโดยไม่มีหัวใจ เพราะเราไม่มีสำรองเลย มีคนมากมายอุทิศใจแก่เรา แต่เราไม่ปรารถนา เราต้องการดวงใจดวงเดิม แม้มันจะทรุดโทรม เราก็อยากได้คืนเพื่อจะซ่อมแซมมันใหม่ได้ไง แต่รังรองจ๋า เราไม่เข้าใจเค้าอยู่ดีว่าเขามีเหตุผลใด และคิดยังไงกับเราอยู่ เราควรบากหน้าไปขอคืนใจกับดีไหม แต่ก็กลัวเขาจะดูแคลนเย้ยหยัน เสียฟอร์มด้วยสิ แสนอายและหวาดกลัวเขาอยู่เหมือนกัน เดินแผนทำสงครามชิงกลับหรือขยับหนีดีล่ะ แต่ถ้าจะหนีต้องหนีตลอดชีวิต ทำยังไงดี คุณรังรองชี้ทางออกให้เราด้วยเถิดค่ะ

ศรัทธา

เรไร

แล้วเราก็ปรึกษากัน

จดหมายของคุณอ่านสนุกดี เพราะคุณเอาสำนวนไทยมาเล่นให้เกิดความหมายแปลกใหม่ออกไป เช่น ไม่มีใจสำรองอยู่ ซึ่งก็หมายความว่าหากมันมีสำรองอยู่ก็แปลว่าคุณมี ‘หลาย’ ใจ หรือต้องการดวงใจเดิมกลับมาซ่อมแซมใหม่ ซึ่งก็หมายความว่า ได้คนรักเก่ากลับคืนมา แม้จะรู้ว่าเขาบกพร่องก็ยังหวังจะถนอมกล่อมเกลี้ยงเพื่อให้เขาดีขึ้นสำหรับคุณได้

ทั้งหมดนี้เป็นสำนวนโวหารที่ทำให้ภาษามีชีวิตชีวาใหม่ๆ และน่าสรรเสริญ

แต่การเล่นกับภาษานั้นไม่ควรให้มีผลกระทบถึงความกระจ่างแจ้งในวิธีคิดและตัววิธีคิดไปด้วย เพราะความรู้สึกผูกพันรักใคร่บุคคลอื่นนั้นมีปัจจัยซับซ้อนมากกว่าที่จะเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ว่าเป็นการมอบหัวใจของเราให้แก่เขา หรือการที่เลิกคบกับคนคนหนึ่งแล้วมาภายหลังถูกใจกับอีกคนหนึ่ง ก็หาได้เป็นการมีหัวใจสำรองไว้เที่ยวแจกจ่ายพร่ำเพรื่อไม่

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่อยากเตือน (อย่างที่ได้เตือนคนอื่นอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาตามความเห็นของผม) นั่นก็คือ เราต้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง วิเคราะห์สิ่งเหล่านั้นด้วยใจที่เป็นกลาง กล่าวคือ เอาผลประโยชน์ของตัวเราเองหรือโลกทรรศ์ของตัวเราเองไปใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเหตุดังนั้น การไปยึดติดในสำนวนภาษาเป็นความเปรียบต่างๆ เช่นนี้ จึงยิ่งทำให้เราคิดหาลู่ทางออกไม่เจอ เพราะมีแต่จะก่อให้เกิดความสับสนมากขึ้น

ทำไมจึงสูญเสียเขาไป เขามีคุณค่าที่จะต้องรักษาไว้หรือไม่ ที่ว่า ‘เสียฟอร์ม’ นั้นมีความหมายว่าอะไร เสียความนับถือตนเองใช่ไหม หากใช่ ตนเองที่อยากจะนับถือเป็นตนเองที่ลำพอง ยโส หรือตนเองที่มีความเป็นธรรมต่อผู้อื่น ฯลฯ

คิดถึงสิ่งเหล่านั้นให้กระจ่างแล้วคุณก็จะตอบปัญหาได้เอง

ส่วนการมอบใจให้ผู้อื่นอีกหรือไม่นั้น ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติมิดีกว่าหรือ ความพยายามจะยัดเยียดให้แก่ผู้อื่นก็ดูเป็นการฝืนธรรมชาติ การสงวนรักษาไม่มอบให้ใครเลยตลอดไปก็ผิดธรรมชาติ และคุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้


หนังสือที่อ่านไม่ออก

รังรองจ๊ะ,

ตอนนี้เราสับสนใจจังนะ ช่วยหน่วยนะ เราคบกับเขามา 6 ปีแล้ว คบกัน 3 ปี แล้วก็เลิกกันไป 1 ปีแล้วเขามาง้อเรา ตอนแรกที่เราดีด้วยก็เพราะจะแก้แค้นเขาที่เคยทำให้เราเจ็บ มาตอนหลังเค้าทำดีกับเราอย่างไม่เคยเป็น เราก็เลยใจอ่อน แต่ความรักของเราก็ไม่ราบรื่น เรากับเค้าไม่ค่อยลงรอยกัน ความคิดสวนทางเสมอ ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร เราก็ถือว่าเราแน่ เพราะเราเป็นลูกคนเดียว เค้าก็เป็นลูกคนเล็ก แต่มาหลังๆ นี้เขายอมเราตลอด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาเราแทบไม่รู้จักเขาเลย เราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเค้าเลย (บางเรื่อง) บางทีเราก็ยังมานั่งคิดเลยว่านี่หรือคนที่จะมาเป็นแฟน แล้วเราก็ไม่เคยได้อะไรจากเขาเลยซักชิ้น แม้แต่การ์ดวันเกิด เราเป็นแต่ฝ่ายให้เขามาตลอด บางทีก็ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้าสมมุติว่าเลิกกัน เค้าคงจะคิดว่าเราหน้าโง่หลงเค้าเอง บางครั้งเรากระทำอะไรที่ไม่ดีออกไปเหมือนกัน เรานิสัยเสียตรงที่ดูถูกแฟนตัวเอง และบางครั้งเราก็ใช้เงินซื้อคน (นี่แหละนิสัยที่เราเกลียดตัวเองจัง) เมื่อก่อนเราไม่เป็นนะ เพิ่งมาเป็นตอนที่เจอคนเอาเปรียบเราตลอดเวลา ยามเรามีนะเพื่อนเราก็เยอะ แต่ยามเราไม่มี ก็ไม่มีใครเหลียวแล เลยทำให้เราเป็นแบบนี้ ช่วยบอกวิธีแก้นิสัยนี้ให้เราหน่อย อย่าบอกว่าให้เรามองโลกแง่ดี มันไม่ได้ผลหรอก เพราะเราเป็นแบบนี้มาตลอด รังรองจ๊ะ เราจะทำยังไงกับเค้า บางทีเราก็ว่าเรารักเค้า บางที่ก็ไม่ เจอเค้าแล้วเราก็เบื่อ ยามไม่เจอก็คิดถึงเค้า เค้ารักพ่อแม่และพี่ๆ เค้ามากเลยนะ ครั้งหนึ่งเราเคยคิดจะเลิกกับเขามากๆ ครั้งแรกเลยที่เค้าพาเราไปบ้านเค้า พี่สาวเค้าฉีกหน้าเรา เราโกรธมาก พอมาคิดอีกที เราเลยอยากจะเอาชนะเค้า สองครั้งสองคราที่พี่เค้าฉีกหน้าเรา ซึ่งที่บ้านเราไม่เคยมีใครทำกับเค้าแบบนั้นเลย ทางบ้านเขาคงไม่ชอบเราหรอก เพราะเราไม่หัวอ่อน ค่อนข้างเปรี้ยวด้วยซ้ำ บ้านเค้ารวมทั้งตัวเค้าชอบเรียบร้อย เค้าเคยขอร้องให้เราลดนิสัยหยิ่งๆ ลดทิฏฐิลงบ้าง แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะนิสัยจริงๆ ของเราเป็นอย่างนั้น ช่วยบอกเราหน่อยเถอะว่า จะทำอย่างไรดี บางครั้งอยากเลิกกับเค้ามากเลย แต่บางครั้งก็เสียดายหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ไม่รู้สินะ ถ้าเค้าเป็นหนังสือนะ ก็คงเป็นหนังสือที่ยากสำหรับเรา ช่วยแนะนำเราหน่อยนะ เราจะรอ

ขอแสดงความนับถือ

สับสน

แล้วเราก็ปรึกษากัน

น่าจะเริ่มต้นกันที่การชอบซื้อคนดีไหม

อันที่จริง หากมีเงินซะอย่าง การซื้อคนก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะในโลกนี้มีคนขายตัวในลักษณะต่างๆ อยู่มาก (เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ) แต่มีข้อที่พึงสังวรในการซื้อคนอยู่สองข้อ

1. หากซื้อคนก็จะได้คน ไม่ได้เพื่อน ไม่ได้ความเคารพนับถือที่จริงจัง ไม่ได้ไมตรีจิตที่แท้จริง ไม่ได้อะไรอีกหลายอย่างที่เงินซื้อไม่ได้

2. หากไม่ระวังสังวรในข้อ 1 ให้ดีก็จะทำให้ติดนิสัยในการใช้เงินซื้อสิ่งที่ซื้อไม่ได้ แล้วก็เกิดเจ็บใจในตอนหลังว่าคนที่เราซื้อมาแล้วนั้นเกิดมาหักหลังกันในภายหลัง ซึ่งก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะเขายินดีขายตัวเขา ไม่ได้คิดจะขายไมตรีจิต ความจริงใจ หรืออะไรอื่นๆ ซึ่งขายไม่ได้ ส่วนตัวเราเองก็ไม่สามารถสร้างเพื่อน หรือสร้างความสัมพันธ์ที่มีเกียรติ และมีความจริงใจกับใครเป็น

เพราะฉะนั้นมีเงินจะซื้อคนก็ซื้อไปเถิด แต่ขอให้รู้เท่านั้นว่าซื้อคนก็ได้แค่คน

เงินนั้นเป็นอำนาจอย่างหนึ่ง เมื่อมีเงินก็มีอำนาจ และเมื่อมีอำนาจก็มักจะใช้อำนาจเพื่อยังให้เกิดสิ่งที่ต้องการ ไม่มีความคิดหรือความพยายามจะสร้างสิ่งที่ต้องการขึ้นมาเอง จะใช้แต่อำนาจบังคับให้มันเกิดขึ้นท่าเดียว

ความต้องการเอาชนะของคุณนั่นไง มาจากพื้นฐานของนิสัยชอบใช้อำนาจหรือไม่ใช่ ดูจะเอาชนะไปทุกเรื่อง กับแฟนก็เคยคืนดีเพื่อเอาชนะ กับพี่สาวของแฟนก็ฉีกหน้าเพื่อเอาชนะ

คุณต้องการอะไรเล่า ชัยชนะใช่ไหม ถ้าต้องการเพียงเท่านี้ วางแผนให้รอบคอบด้วยอำนาจที่คุณมีอยู่ คือ ทรัพย์สมบัติ และอาจจะรูปสมบัติด้วย ก็มีหวังได้ชัยชนะในภายหน้า

หากคุณต้องการความจริงใจจากแฟนก็ควรเลิกคิดเรื่องเอาชนะ เลิกการใช้อำนาจทุกรูปแบบ หันมาสู่ความเข้าใจและความจริงใจแทน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็หันหน้ามาแก้ไขด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

หากเขาเป็นหนังสือ คุณก็คงอ่านแล้วแปลไม่ได้ เหตุผลก็เพราะคุณไม่ได้มีใจจะอ่านเท่านั้น

นิตยสารแพรว


คือใครจะเลือกเพื่อเรา

คุณรังรองที่นับถือ

กว่าจะจรดปากกาลงได้ ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะกลัวกับสิ่งที่ผู้อื่นมองว่าผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตใจ ความต้องการมาจากสายเลือดจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดมา เรามีลักษณะเป็นผู้หญิง นี่แหละรังรอง อายุก็เลยเบญจเพสแล้ว แต่จิตใจเราต่อต้านผู้ชาย เราไม่ได้เกลียด แต่ใกล้ชิดมากแล้วจะขยะแขยง และไม่เห็นว่าผู้ชายดีตรงไหนเลย เคยคบเป็นแฟนกับผู้ชาย 4-5 ปี แต่ถ้าเข้าใกล้เรารู้สึกไม่ชอบใจเลย ไม่เคยจับมือถือแขน จนกระทั่งต้องเลิกห่างไป เราพยายามคิดถึงอนาคตครอบครัว คิดถึงพ่อแม่ พยายามหักห้ามให้เข้าสู่ภาวะปกติเหมือนคนอื่นๆ เก็บความรู้สึกของตัวเองให้มิดชิด จนบัดนี้เราทำงานแล้ว เราก็ยังตัดสินอนาคตตัวเองไม่ได้ และคงเหลือเวลาไม่มากสำหรับการตัดสินใจ

เราจะเล่าให้รังรองฟังนะ เรามีเพื่อนที่เรารักมากที่สุด และเราคิดว่าเธอรักเรามากด้วย รู้จักกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว เธอสวย ฐานะดี ตอนเรียนมีคนมาเลียบๆ เคียงๆ เธอเยอะแต่เธอวางตัวดีมาก ใครๆ ก็อยากใกล้ชิดเธอ แต่เหมือนชะตาลิขิตมา เธอสนใจเราด้วย ทำให้เรากับเธอสนิทสนมกันในที่สุด ไม่เคยมีใครดีกับเราเท่าเธอเลยรังรอง เธอสวยทั้งกายและใจ เอาใจใส่ปรนนิบัตรเพื่อนหลายๆ คน เพื่อนๆ ก็รักเธอมาก เราเริ่มรู้สึกหวงเธอ หวงความเอาใจใส่ที่เธอมีต่อเพื่อนๆ เรารู้ว่าเราเห็นแก่ตัว เราอยากได้รับความห่วงใยเอาใจใส่นั้นมากที่สุด เราติดตามเธอเหมือนเงา จนเพื่อนๆ หมันไส้ เรากีดกันเธอจากคนอื่นๆ เอาเวลาทั้งหมดของเธอมาเป็นของเรา เพราะเรารักเธอนะรังรอง เราทำทุกอย่างให้เธอรัก ทำสารพัด จนเพื่อนเธอแตกกระจายไป เธอมีเราคนเดียวตลอดเวลาที่เรียน 4 ปี

พอเรียนจบ ครั้งแรกเราได้งานที่เดียวกัน ความเห็นแก่ตัวทำให้เราไม่ยอมให้เธอไป ย้ายไปบ้านเธอ แต่สังคม พ่อแม่พี่น้องทำให้เธอต้องคิด และเธอก็ไปในทางที่เธอคิดว่าถูกต้อง เราเข้าใจเธอนะ จนบัดนี้เธอยังไม่ได้แต่งงาน เธอรักเรา รอเราเสมอ ทั้งๆ ที่เธอและเราต่างมีภาระ มีความผูกพันต่อครอบครัว มีความต้องการที่จะทำในสิ่งที่สังคมเรียกว่าถูกต้อง เราและเธอต่างทรมานใจ มีความทุกข์ทับถมหัวใจ เธอบอกว่า ชาตินี้เกิดมาแล้วทั้งทีอยากเป็นตัวของตัวเองแล้วมีความสุข แต่เราก็ทำไม่ได้ จะเป็นเวลา 5 ปี 10 ปี ความรู้สึกต่างๆ ไม่จางหายไปจากใจเธอและเราเลย

เรารู้สึกผิดในใจอยู่เสมอว่าเราทำให้เธอมีความทุกข์ แทนที่จะมีชีวิตในทางที่ถูกต้อง ขณะนี้ยังมีคนสนใจเธอมากมายเพราะเธอมีเสน่ห์ เพรียบพร้อมทุกอย่าง มีคนมาสู่ขอเธอแต่เธอไม่สนใจ เราแน่ใจว่าเธอจะรักเราตลอดไปแน่นอน นอกจากเราจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลง

เราจะทำอย่างไรดีนะ ทำให้เธอเข้าใจผิด เพื่อให้เธอไป แล้วเราก็มาทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว หรือต่างฝ่ายต่างสุขบ้างทุกข์บ้าง ซึ่งทุกข์ก็คงมากกว่าสุข แต่เธอก็บอกว่าเธอยินดี เธอบอกว่าเราต่างมีกรรมมากมายถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ และควรทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่สิ่งที่เราและเธอต้องการนั้นเป็นไปได้ยากเหลือเกิน จะทำได้ก็เพียงเวลาสั้นๆ แล้วก็ต้องจากกัน เรากับเธออยู่ไกลกัน เราอยากไปหา แต่ก็ไม่อยากให้เธอได้รับการมองในแง่เสียหายแม้แต่นิดเดียว

สำหรับเราอยู่ไปวันๆ อย่างนั้นแหละ ความคิดถึงอะไรต่างๆ มันทับถมอยู่ในจิตใจ ไม่มีพลังความคิดจะดิ้นรนอะไรอีกต่อไป เราผิดไหมนะที่เป็นอย่างนี้ ผิดมั้ยที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ ไม่ไปในทางที่สังคมเป็นไป เราสงสารเธอและก็สงสารตัวเอง

ขอบคุณคุณรังรอง

Cann

แล้วเราก็ปรึกษากัน

คุณกำลังอยากจะได้รับการยอมรับจากสังคมด้วย และต้องการความสุขจากความพอใจส่วนตัวที่ขัดกับความนิยมของสังคมด้วย

หากคุณและเธอจะทำตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย คุณกลัวว่าจะเกิดความเสียหายแก่เธอ แต่ถ้าคุณและเธอไม่ทำตามความพอใจของตนเองแล้ว เธอจะเสียหายหรือไม่

ความเสียหายนั้นมีได้หลายอย่าง การถูกลงทัณฑ์จากสังคมก็เป็นความเสียหาย การระทมทุกข์ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามใจปรารถนของตนเองก็เป็นความเสียหายไม่น้อยไปกว่ากัน

เพราะฉะนั้นไม่ว่าเลือกไปในทางใดก็ทำให้เสียหายแก่เธอทั้งสิ้น

การปล่อยให้เจ็บปวดรวดร้าวไปเรื่อยๆ ดังที่ทำอยู่เช่นนี้ คือ การไม่ยอมตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปตามยถากรรม

ชีวิตต้องเลือกครับ ชั่งตวงวัดปัจจัยและสถานการร์แวดล้อมตลอดจนบุคคลิกภาพของตนเองให้ดีทั้งสองคนแล้วก็เลือก เพราะการเลือกย่อมดีกว่าการปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรมเช่นนี้ อย่างน้อยแม้เลือกผิดก็ยังดีกว่าไม่เลือกเลย เพราะในการเลือกนั้นเรารู้ว่าเราเลือกอะไร จึงเป็นโอกาสให้ได้เตรียมกายและใจไว้เผชิญกับผลของการเลือกซึ่งคาดเดาล่วงหน้าได้บ้าง เหตุฉะนั้นแม้แต่เลือกผิดก็ยังบรรเทาผลร้ายของการเลือกที่ผิดไปบ้าง ขณะที่การไม่เลือกเลยคือการจำนนต่อผลร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่มีทางบรรเทาได้

หันหน้าเข้าหากัน แล้วร่วมกันเลือกชีวิตของคุณสองคนสิครับ