ไม่พบผลการค้นหา
‘เพื่อไทย’ เปิดวงเสวนาจากวัยรุ่น ‘เดือนตุลาฯ’ สู่วัยรุ่นยุค ‘ประยุทธ์’ ชี้ความท้าทายของการเป็นผู้หญิงบนเส้นทางการเมือง และนิยามของเฟมินิสต์ที่เปลี่ยนไป ด้านอดีตคนเดือนตุลาชี้การต่อสู้ของภาคประชาชนในปัจจุบันไม่ต่างจากคนเดือนตุลา ด้านเยาวชนกลุ่ม Feminist FooFoo ทวงสิทธิทางร่างกาย ขณะที่ ส.ส.เชียงใหม่ ชี้ถูกจับคดีประชามติมีผลกระทบต่อจิตใจ

วันที่ 22 มี.ค.2565 ที่พรรคเพื่อไทย ในนิทรรศการ ‘นิทรรศกี: เพื่อผ้าอนามัยฟรีถ้วนหน้า’ ได้มีการจัดงานเสวนา หัวข้อ ‘จากวัยรุ่นเดือนตุลาฯ ถึงวัยรุ่นยุคประยุทธ์ จันทร์โอชา บทบาทผู้หญิงในฐานะนักต่อสู้’ โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย สื่อมวลชนอาวุโส ในฐานะวัยรุ่นเดือนตุลาฯ อินทิรา เจริญปุระ หรือ ‘ทราย’ นักแสดง และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และ มีมี่ เยาวชนนักกิจกรรม กลุ่ม Feminist FooFoo ดำเนินการสนทนาโดย ชานันท์ ยอดหงษ์ ผู้รับผิดชอบนโยบายด้านอัตลักษณ์และความหลากหลาย พรรคเพื่อไทย

'ทัศนีย์' ชี้คุกคามผู้วิจารณ์ คสช.

ทัศนีย์ เผยประสบการณ์การถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐภายหลังการรัฐประหารของ คสช. เมื่อปี 2557 ซึ่งในปี 2559 ทัศนีย์ มองว่า รัฐธรรมนูญมีความพิกลพิการ ลิดรอนสิทธิประชาชน โดยเฉพาะการกำหนดให้มี 250 ส.ว. จากการตั้งคำถามพ่วงในประชามติทำให้ประชาชนเสียรู้ ตนในฐานะ ส.ส. เขต 1 จ.เชียงใหม่ จึงใช้วิธีเขียนจดหมาย เนื้อหาระบุให้เห็นผลที่จะตามมาหลังรับร่างประชามติ ขอให้ประชาชนคิดให้ดีก่อนจะรับร่าง โดยไม่เปิดเผยชื่อตนเป็นผู้เขียน เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะมองเป็นการโน้มน้าว จากนั้นใช้ระบบไหว้วานคนนำจดหมายไปแจกในที่ต่างๆ 

อย่างไรก็ตาม มีสื่อมวลชนนำไปรายงานว่าเป็น ‘จดหมายบิดเบือนรัฐธรรมนูญ’ โดยที่ไม่ได้เผยเนื้อหาแท้จริงในจดหมาย พร้อมตีข่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นโทษร้ายแรง และต่อมามีกำลังทหาร-ตำรวจ เข้ามาปิดล้อมบ้านของ ทัศนีย์ ที่ จ.เชียงใหม่ ในยามวิกาล เพื่อควบคุมตัวน้องสาวของทัศนีย์ ที่สื่อได้เปิดเผยชื่อไปก่อนหน้านี้ ทัศนีย์ ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในกรุงเทพฯ จึงเร่งเดินทางไปมอบตัวที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ก่อนจะถูกควบคุมตัวมาขึ้นศาลทหารที่ จ.เชียงใหม่ ทัศนีย์ ระบุว่า เธอถูกคุมขังอยู่เป็นเวลา 9 วัน มีการข่มขู่ให้ตอบคำถามว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมาย โดยตนยืนยันไปแล้วว่าเป็นผู้เขียนเอง แต่ก็ยังตั้งคำถามเดิมซ้ำ ทั้งยังมีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น คนขับรถ คนซื้อซองจดหมาย แม้แต่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ยังถูกจับด้วยความเข้าใจผิด ในฐานะสมรู้ร่วมคิด

จากนั้น ทัศนีย์ ถูกฟ้องร้องด้วยความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 และถูกคุมตัวในเรือนจำเป็นเวลา 23 วัน เช่นเดียวกับ บุญเลิศ บูรณูปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มีศักดิ์เป็นอา

ทัศนีย์ กล่าวว่า ประสบการณ์ครั้งนั้นส่งผลเสียต่อความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกของญาติที่มาเยี่ยม ซึ่งประสบความลำบากทั้งการเดินทาง และความเจ็บปวดในด้านอารมณ์ ไม่ใช่แค่เสรีภาพที่เสียไป แต่ยังรวมไปถึงจิตใจด้วย

ทัศนีย์ เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_8.jpgเพื่อไทย เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_4.jpg

วัยรุ่นเดือนตุลา : อุดมการณ์เหนือความกลัว

ด้าน นิธินันท์ กล่าวถึงประสบการณ์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จนถึง 6 ตุลา 2519 ว่า ไม่ได้แตกต่างไปจากยุคปัจจุบันนัก มีการเข้าชื่อรณรงค์ รวมกลุ่มประท้วง รวมไปถึงมีเยาวชนถึงถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมาก หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ นิสิตนักศึกษาได้เข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างมากจนเกินสมดุล จนถึงขั้นที่นักศึกษารับแจ้งความแทนตำรวจได้

อย่างไรก็ตาม นิธินันท์ มองว่า จริงอยู่ที่พลังของนิสิตนักศึกษามีส่วนสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่ความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นจากภายในอยู่แล้ว โดยมีเสียงของนิสิตนักศึกษา และประชาชนเป็นตัวเร่งให้ปะทุขึ้น

หลังจากนั้นราวปี 2517 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมือง มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อรบกับฝ่ายผู้ถืออำนาจ ก่อนหน้านี้แนวคิดสตรีนิยม หรือเฟมินิสต์ ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในไทยแล้ว ด้วยอิทธิพลของบุปผาชนในสหรัฐอเมริกา แต่วัฒนธรรมคอมมิวนิสต์ได้เปลี่ยนสภาพเฟมินิสต์สายเสรีนิยมให้มีความสุดโต่งมากขึ้น จนเกิดกลุ่มของสตรีที่เรียกว่า ‘หงฉี’ หรือ ธงแดง ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์เพศชายในพรรคคอมมิวนิสต์อย่างดุเดือดรุนแรง เพราะในยุคก่อนหน้ามีความพยายามยกย่องบทบาทผู้หญิงโดยรัฐ ในฐานะของ ‘แม่’ และ ‘เมีย’ สร้างบรรทัดฐานของผู้หญิงในอุดมคติ จึงเกิดการต่อต้านในยุคของ พคท.

นิธินันท์ ยังเผยว่า ความน่าสะพรึงกลัวที่ผู้หญิงในช่วงก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ต้องเผชิญคือ การถูกสะกดรอยตามโดยกลุ่มผู้ชาย ที่ไม่ได้เพียงแค่ติดตามกลุ่มนักศึกษาที่แปะโปสเตอร์ต้านเผด็จการ หรือเล่นดนตรีเพื่อชีวิต แต่ยังติดตามผู้หญิงตัวคนเดียวจนตลอดทางกลับบ้านในยามดึก สถานการณ์ที่สร้างความกลัวเช่นนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ความกลัวนั้นก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอุดมการณ์

“กลัวก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ความฝันที่จะทำตามสิ่งที่เราเชื่อนั้นยิ่งใหญ่กว่า เรามักจะบอกว่า กลัวแค่ไหน หรือตกใจแค่ไหน ก็ไม่อาจเอาชนะสิ่งที่เราคิดว่าเรากำลังทำเพื่อความถูกต้อง” นิธินันท์ กล่าว

มีมี่ เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_7.jpg

เยาวชนนักกิจกรรมทวงสิทธิเหนือร่างกาย ทลายค่านิยมเดิม

มีมี่ เยาวชนนักกิจกรรม วัย 18 ปี ถ่ายทอดมุมมองของวัยรุ่นปัจจุบันที่หันมาสนใจการเมือง โดยมองว่าสถานการณ์การเมืองได้เข้ามามีส่วนในชีวิตตั้งแต่สมัยเตรียมอนุบาล ประถมศึกษา ซึ่งอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของกลุ่มเสื้อเหลือง-แดง ที่ครอบครัวของตนให้ความสนใจอยู่แล้ว โดยพ่อเป็นคนที่สอนให้สู้อย่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงปี ตนได้เข้าร่วมการชุมนุมครั้งแรกที่หน้าสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ในกรณีที่ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมชาวไทยถูกทำให้สูญหาย ถึงแม้ตนจะไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดีนักในขณะนั้น แต่ก็รู้สึกว่าอยู่เฉยไม่ได้

สำหรับแนวคิดเรื่องเฟมินิสต์นั้น มีมี่ ระบุว่า ได้มีแนวคิดนี้ติดตัวมาโดยตลอด และได้ตัดสินใจร่วมเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ เพื่อสิทธิสตรี โดยเฉพาะ สิทธิผ้าอนามัยฟรีถ้วนหน้า ซึ่งตนพยายามขับเคลื่อน โดยมองว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ได้เข้าใจยาก ใครก็ทำได้ ขณะที่มีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยบอกว่าตอนนี้ทุกเพศเท่าเทียมกันแล้ว แต่ประชาชนถึงยังไม่มีผ้าอนามัยฟรีใช้ ซึ่งสะท้อนแนวคิดที่ยังมีความล้าหลัง

ส่วนประเด็นที่ตนได้โกนหัวเพื่อประท้วงรัฐบาลนั้น มีมี่ กล่าวว่า แม้ตนจะนิยามเพศของตัวเองว่าเป็น นอน-ไบนารี (Non-Binary) แต่ด้วยเพศกำเนิดที่เป็นหญิง จึงถือว่ายังถูกกดทับด้วยค่านิยมของความเป็นหญิง ตนมองการโกนหัวว่าเป็นเรื่องท้าทายในการเอาชนะกรอบจำกัดของสังคม และทวงสิทธิในการเป็นเจ้าของเนื้อตัวร่ายกายของเรา

“เรากำลังบอกว่า นี่คือสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเรา และต่อให้เราจะโกนหัวหรือผมยาวก็คือสิทธิของเรา ด้วยความที่เรามีความเป็นหญิงสูง คนก็จะบอกว่าเราต้องสวยตลอดเวลา ต้องน่ารัก ต้องฉลาด สวยแล้วห้ามโง่ เราต้องทวงสิทธิที่ควรจะเป็นของเรากลับมา คือสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย เรื่องการโกนผม อาจมีคนคิดว่าเป็นเพศหญิงแล้วจะไม่กล้าโกน อยากจะบอกว่าคุณคิดแทนคนเยอะไป เรารู้สึกท้าทายมากในการเอาชนะกรอบค่านิยม เราไม่ได้เรียกร้องความสงสาร” มีมี่ ระบุ

ทราย อินทิรา เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_0.jpg

นิยามที่คลุมเครือของนักแสดง-นักกิจกรรม

ด้าน อินทิรา ระบุว่า ความท้าทายของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะคนในวงการบันเทิงว่า วงการบันเทิงมีลักษณะของความเป็นสังคมอุปถัมภ์อยู่ ดารา-นักแสดงจะถูกคาดหวังให้มีความเป็นมิตร เปิดกว้าง โอบรับคนทุกกลุ่ม การพูดประเด็นการเมือง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพ่วงมากับการเป็นนักแสดง ตรงกันข้ามกับปัจจุบัน ที่ความเป็นนักแสดงกับทัศนคติทางการเมืองแทบจะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยโซเชียลมีเดีย และบริบทที่เปลี่ยนไป สังคมสามารถรับรู้ตัวตนของนักแสดงได้ทุกด้าน ความเห็นทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับความเป็นนักแสดงโดยปริยาย

อินทิรา ยังบอกว่า สังคมมีการตั้งคำถามกับตัวตนของเธออย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 2553-2557 ที่ทุกการกระทำของเธอถูกเพ่งเล็งและตัดสินว่ามีนัยทางการเมืองไปหมด แม้ความจริงเธอจะเพียงแค่แสดงออกในความเป็นตัวเธอเท่านั้น แต่กลับถูกยัดเยียดให้เป็นคนที่แตกต่างนอกคอก ตนไม่เคยรู้สึกว่ามีอิทธิพลอะไร ก่อนหน้านี้ตนได้เผชิญสิ่งที่นักแสดงคนอื่นๆ อาจจะไม่ต้องเจอ ทั้งการถูกตัดสินจากคนทั้งในและนอกวงการ หรือกระทั่งความคาดหวังในกลุ่มนักกิจกรรมด้วยกัน ว่าต้องพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สุดเพดานไปโดยตลอด โดยความเป็นจริงแล้วหลายประเด็นก็มีส่วนซ้อนทับกัน และขับเคลื่อนไปด้วยกันได้

“เราไม่เชื่อในการที่ต้องพูดในเรื่องใดแล้ว จะต้องพูดเรื่องนั้นไปโดยตลอด มันคือคำสาป ไม่ใช่ทัศนคติ” อินทิรา กล่าว

ทัศนีย์ นิธินันท์ ทราย อินทิรา เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_3.jpgเพื่อไทย เสวนาวัยรุ่นตุลา-วัยรุ่นประยุทธ์_220322_5.jpg