ไม่พบผลการค้นหา
ย่างเข้าสู่ช่วงต้นๆ กลางๆ เดือนตุลานี่อยู่ๆ ชาวเมืองสาย health สาย hipster และสายบุญทั้งหลาย ทั้งที่มีเชื้อสายจีน และไม่มีเชื้อสายจีน ทั้งที่มีศาสนาและไม่มีศาสนาต่างก็พากันเปลี่ยนเป็นสายเห่อเทศกาลกินเจกันเป็นจำนวนมาก

เสร็จแล้วตามธรรมเนียมอันดีแท้แต่โบราณกาลมาก็จะต้องมีสายผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายออกมาค่อนแคะต่อไปอีกหลายยก บ้างก็ว่ากินเจนี้มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียวแหละ คนจีนมาจากแผ่นดินใหญ่ไม่เห็นมีใครรู้จัก 

บ้างก็ว่า... อะไรกันพวกบอกว่ากินเจมีแต่ในประเทศไทยนี้ไม่รู้จริง ตรงนู้น ตรงนี้ ตรงนั้นของประเทศจีนเขาก็มีกินกันจ้า ไต้หวันก็มี ฮ่องกงก็มี ชุมชนจีนโพ้นทะเลในประเทศเพื่อนบ้านก็มีกันเยอะแยะ นี่ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องเจ้าแม่กวนอิมอย่างที่ชอบอ้างกันด้วยนะ เขามีตำนานอื่นที่จริงกว่า authentic กว่า ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ตบตีกันให้วุ่นวายกว่าจะจบก็โน่น... หมดเทศกาลกันพอดีกลับไปกินเหล้า กินเนื้อ เสพเมถุนกันต่อค่ะ

เอาเถอะ... บ่นมายืดยาว ประเด็นคือเรื่องกินเจมีคนสาธยายแกมทะเลาะให้ฟังอยู่เต็มเฟซบุ๊กแล้ว เราย้ายมาคุยกันเรื่องเบาๆ ซอฟต์ๆ อย่างเรื่องการปฏิวัติกันดีกว่าค่ะ เพราะว่าในเมืองจีนเนี่ยเตือนตุลาคมก็เป็นเดือนแห่งการปฏิวัติที่สำคัญอีกเดือนหนึ่งเหมือนกันนะคะ ที่เขามีวันหยุดยาวๆ ให้มาจับจ่ายใช้สอยในประเทศเราได้มากๆ น่ะก็เพราะว่าต้นเดือนตุลานี้มีทั้งวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน คือวันที่ประธานเหมาประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) มีวันชาติสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) คือวันปฏิวัติซินไฮ่ หรือปฏิวัติจีน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) และถ้าจะนับได้อีกวันก็คือวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ที่แถวบ้านเรากำลังฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์อยู่นั้นก็เป็นวันที่มีรัฐประหารอันนำมาซึ่งการสิ้นสุดลงของการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนอีกด้วย จะว่าไปแล้วเดือนตุลาคมของจีนนี้ก็แดงไม่น้อยกว่า Red October ของสหภาพโซเวียตเลยนะคะ (ประเด็นคือพวกรัสเซียเขาถือว่าการปฏิวัติของพรรคบอลเชวิคซึ่งนำมาสู่การสถาปนาสหภาพโซเวียตนั้นเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) แต่อันนี้เป็นการถือตามปฏิทินโรมันโบราณนะคะ ถ้านับตามปฏิทินสมัยนี้จะเรียกว่าเกิดช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนต่างหาก... ว้าย Red October ของจริงต้องของจีนนะคะ เกิดช่วงเดียวกับเทศกาลกินเจและไล่ๆ กับ Oktoberfest ด้วยค่า)

ถ้าไล่กันตามปีที่เกิดเหตุก็ต้องเริ่มต้นที่การปฏิวัติจีนหรือปฏิวัติซินไฮ่ในปี 1911 ที่คนชอบบอกว่านำโดย หมอซุน ยัดเซ็น เรื่องนี้นี่อิฉันก็ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ นะคะ สู้กระแสประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างเวอร์ชันจีนแดงไม่ไหวจริงๆ ค่ะ 

รู้มั้ยคะว่าตอนที่อิฉันเริ่มสนใจศึกษาวิจัยเรื่อง ซุน ยัดเซ็นเมื่อซัก 20 ปีก่อนเนี่ยชีวประวัติซุน ยัดเซ็นทุกเวอร์ชันว่าตรงกันหมดค่ะ ทั้งฝรั่งทั้งจีน แม้แต่พิพิธภัณฑ์บ้านซุน ยัดเซ็นที่เซี่ยงไฮ้ก็ยังยืนยันเหมือนกันว่า ซุน ยัดเซ็นเรียนไม่จบหมอค่ะ เขาใช้คำว่า “ได้เรียนวิชาพื้นฐานด้านการแพทย์” อยู่ช่วงหนึ่งและไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์จากรัฐบาลใดเลย ทั้งราชวงศ์ชิง ทั้งเจ้าอาณานิคมอังกฤษในฮ่องกง หรือโปรตุเกสในมาเก๊า หรือในญี่ปุ่น หรือในสหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็จะจบได้ยังไงล่ะคะ เรียนหมออยู่แค่ไม่กี่ปีและในระหว่างนั้นก็ต้องแวะกลับบ้านนอกไปแต่งงานและมีลูกตั้ง 3 คน พอดีเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรกก็ต้องไปทำภารกิจนำประเทศให้เป็นสมัยใหม่และกลายมาเป็นบิดาแห่งการปฏิวัติอีก งานเยอะงานยุ่งนะคะไม่ใช่จะเรียนแพทย์ไปชิลๆ จนจบได้

แต่ในช่วงห้าปีสิบปีที่ผ่านมาเนี่ยค่ะ อยู่ดีๆ ก็เกิดมีประสบการณ์สนธิกำลังของหน่วยต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่สร้างอนุสรณ์สถานแห่งการเรียนจบแพทย์ของซุน ยัดเซ็นขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮ่องกงซึ่ง... โทษนะคะ ตอนที่คุณอ้างว่าซุน ยัดเซ็นควรจะเรียนจบน่ะวิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงยังไม่ได้ตั้งนะคะ จากนั้นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั้งที่มีอยู่ก่อนนั้นและที่สร้างขึ้นใหม่อีกเป็นจำนวนมากก็หันมายืนยันนั่งยันนอนยันกันหมดว่าซุน ยัดเซ็นจบแพทย์จริงๆ จ้า ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตนั้นไม่ต้องพูดถึงนอกจากจะให้เป็นหมอแบบจบปริญญาแพทย์เป็น MD แล้วหลายๆ เว็บยังจะสถาปนาให้จบปริญญาเอกเป็น Dr. อีกต่างหาก


000_SAHK990811621190.jpg

สงสัยมั้ยคะว่าทำไม ถามใครก็ไม่มีใครตอบหรอกค่ะ แต่อิฉันมีทฤษฎีสมคบคิดที่บอกไปก็จะไม่มีใครเชื่อ แต่สนุกดีค่ะ และคอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์เม้านะคะไม่ใช่คอลัมน์วิชาการ ดังนั้นต้องเม้าค่ะ มันคือนโยบายยึดครองโลกของรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ค่ะ โดยใช้ตัวละคร ซุน ยัดเซ็น นี่แหละค่ะเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชาติจีนทั้งมวล 

ซุนนี้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ที่มีความพิเศษมากนะคะ กล่าวคือ เป็นคนเดียวที่ได้รับยกย่องให้เป็นฮีโร่ทั้งสองฟากฝั่งช่องแคบไต้หวันและยังเป็นฮีโร่ของประชาชาติจีนโพ้นทะเลทั่วโลกอีกต่างหากค่ะ 

เหตุก็เพราะว่าซุนเคยไปใช้ชีวิตเป็นชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ที่มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยวัยเด็กถึงวัยรุ่น และระหว่างนั้นก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกอั้งยี่แก๊งเทียนตี้ฮุ่ยหรือพรรคฟ้าดินตามแฟชั่นของหนุ่มๆ ชาวจีนโพ้นทะเลยุคนั้นอีกต่างหาก จากนั้นพอมาทำงานปฏิวัติก็พากเพียรมาขอเงินสนับสนุนจากนายทุนจีนโพ้นทะเลเพื่อสนับสนุนการปฏิวัติเป็นจำนวนมากจนเป็นที่มาของวลี “ชาวจีนโพ้นทะเลเป็นมารดาของการปฏิวัติ” ซึ่งเขาได้พิสูจน์แล้วนะคะว่าคำนี้ซุนไม่เคยพูด แต่ว่าพลพรรคพวกพ้องของเขาก็ทำให้คนเชื่อว่าเขาพูดแล้วก็ใช้ประโยชน์ในการเรี่ยไรเงินบริจาคจากชาวจีนโพ้นทะเลเพื่อสนับสนุนการปฏิวัติได้มากมายอยู่ดี ต่อมาเมื่อปฏิวัติสำเร็จแล้วซุนก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งต่อมาครองอำนาจเผด็จการในสาธารณรัฐจีนต่อเนื่องยาวนานมาถึงปลายทศวรรษที่ 1980 ประธานาธิบดีไต้หวัน 3 คนแรก ทั้งเจียง ไคเช็ก เจียง จิ้งกว๋อ และหลี่ เติ้งหุยก็ล้วนแล้วแต่มีที่มาทางการเมืองจากพรรคนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นไม่น่าแปลกที่ทั้งชาวจีนโพ้นทะเลและรัฐบาลไต้หวันจะถือว่าซุน ยัดเซ็นเป็นวีรบุรุษของพวกเขา

แล้วคอมมิวนิสต์ล่ะ? เหตุมันมาจากความพูดไม่รู้เรื่องและโอนอ่อนผ่อนตามเปลี่ยนจุดยืนได้สม่ำเสมอของซุน ยัดเซ็นนั่นแหละ ฐานรากมันมาจากทฤษฎีทางการเมืองที่ซุน ยัดเซ็นนำเสนอเป็นลัทธิที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเรียกว่า “ลัทธิไตรราษฎร์” อันประกอบด้วย

(1) ชาตินิยมหรือชาติของประชาชน

(2) ประชาธิปไตยหรืออำนาจของประชาชน และ

(3) ความอยู่ดีกินดีหรือชีวิตของประชาชน 

เอาล่ะทีนี้... ข้อแรกกับข้อสองก็มึนๆ งงๆ แปลผิดแปลถูกกันพอสมควรแล้ว มาข้อที่ 3 นี่คืออะไรคะ “ชีวิตของประชาชน” เนี่ย จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยค่ะ คือซุนไปหยิบเอาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของนักเศรษฐศาสตร์สายมาร์กซิสต์ชาวอเมริกันชื่อ เฮนรี จอร์จ มาค่ะ เรียกว่าทฤษฎีปฏิรูปแบบภาษีเดี่ยว (Single Tax Reform) คือให้รัฐเลิกเก็บภาษีทุกชนิดและเก็บภาษีที่ดินอย่างเดียวตามปริมาณที่ประชาชนแต่ละคนใช้ที่ดิน หรือแปลอีกอย่างก็คือให้รัฐยึดที่ดินทั้งหมดมาเป็นของรัฐแล้วให้ประชาชนจ่ายค่าเช่าตามปริมาณที่ดินที่แต่ละคนต้องการจะใช้นั่นเอง ซึ่งอันนี้ฝ่ายคอมมิวนิสต์บอกว่าเป็นการปฏิรูปที่ดินและเป็นแนวคิดสังคมนิยมแบบรัฐสวัสดิการ ในขณะที่เวลาซุนไปพูดขอเงินนายทุนก็จะบอกว่า ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์นะครับเพราะยังยืนยันให้มีตลาดเสรีและมีกรรมสิทธิส่วนบุคคลได้ทุกชนิดยกเว้นที่ดินอย่างเดียว

ทีนี้มาช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของชีวิตนั้นซุนตกอยู่ในสภาวะจนกรอบ ค่อนข้างจะลำบากเพราะว่าขาดแคลนเงินทุนและรัฐบาลของเขาก็ไม่มีปัญญาจะต่อสู้กับรัฐบาลขุนศึกต่างๆ ที่พากันสถาปนาขึ้นมาเต็มแผ่นดินจีนช่วงทศวรรษที่ 1910 – 1920 ก็พอดีมีปัญญาชนกลุ่มหนึ่งพากันตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นมา 

สหภาพโซเวียตซึ่ง ณ เวลานั้นเห็นว่าจีนยังเป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นกึ่งศักดินากึ่งเมืองขึ้น ยังไม่พร้อมที่จะปฏิวัติสังคมนิยมจึงเข้ามาติดต่อกับซุนและเสนอจะให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเงินทุน ยุทโธปกรณ์และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร หากเพียงซุนยอมให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมและประเทศพัฒนาแล้วเสียก่อน... ค่อยกลับมาคุยกันเรื่องปฏิวัติสังคมนิยม ซุนก็เลยฉวยโอกาสแห่งความสนับสนุนนั้นไว้โดยใช้ลัทธิไตรราษฎร์ข้อ (3) นี่แหละเป็นตัวเชื่อมอุดมการณ์ของสองฝ่ายเข้าด้วยกัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงกลายมาเป็นติ่งของพรรคก๊กมินตั๋งในช่วงสุดท้ายของชีวิตซุน (ประมาณ ค.ศ. 1921 – 1925) จนเมื่อซุนเสียชีวิตไปแล้วผู้นำคนใหม่ของพรรคก๊กมินตั๋งกลายมาเป็น เจียง ไคเช็ก ซึ่งเกลียดคอมมิวนิสต์เข้าไส้จึงได้ทำการ “ชำระพรรค” หรือที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เรียกว่า “การสังหารหมู่ที่เซี่ยงไฮ้” ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ซึ่งเป็นจุดแตกหักระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งมาจนถึงทุกวันนี้


000_Hkg5442147.jpg

มาถึงศตวรรษนี้ซึ่ง สี จิ้นผิง ก็อยากจะให้เป็นศตวรรษจีนอย่างที่หลายๆ คนโหมกระพือกล่าวอ้างกันมาค่ะ ก็อยากจะรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อจีนให้เป็นหนึ่งเดียว ส่งเสริมความสัมพันธ์กับไต้หวันให้แน่นแฟ้นขึ้น ส่งเสริมความสัมพันธ์กับชาวจีนโพ้นทะเลรวมถึงคนจีนในฮ่องกงและมาเก๊าซึ่งมีความแปลกแยกจากแผ่นดินใหญ่และใกล้ชิดกับวัฒนธรรมโพ้นทะเลให้ดียิ่งขึ้น การที่จีนได้ปฏิรูปเข้าสู่ระบบตลาดแล้วก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้พูดกันรู้เรื่องได้มากขึ้นมากเพราะทุกคนต่างต้องการหาเงินเหมือนกัน แต่การสถาปนาฮีโร่ทางการเมืองร่วมกันก็เป็นเครื่องมือสำคัญอีกอย่างที่แลจะประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ สังเกตดูสิ... ช่วงสิบกว่าปีมานี้มีพิพิธภัณฑ์ หอประชุม ศาลาที่ระลึก เส้นทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับซุน ยัดเซ็นเกิดขึ้นกี่แห่งในจีนและในพื้นที่อื่นๆ ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงชุมชนจีนโพ้นทะเลอื่นๆ ทั่วโลก ฮ่องกงก็อยากจะเป็นฐานการปฏิวัติของซุน สิงคโปร์ก็อยากจะเคลมความเป็นเมืองหลวงของชาวจีนโพ้นทะเลและฐานที่มั่นสำคัญของซุน ปีนังก็ยังจะมีทางเดินประวัติศาสตร์เชื่อมโยงสถานที่สำคัญที่ซุนเคยมาในปีนังไว้มากมาย กรุงเทพเองก็ยังเคลมว่าซุนเดินทางมาเรียกร้องความสนับสนุนจากชาวจีนโพ้นทะเลในสำเพ็งถึงสี่ครั้งก่อนจะกลับไปปฏิวัติจีนสำเร็จ ไต้หวันนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขามีพิพิธภัณฑ์ “พ่อของแผ่นดิน” (กว๋อฟู่จี้เนี่ยนก๋วน 國父紀念館) ไว้กลางไทเปเลยค่ะ มีสถานีรถไฟฟ้าให้ด้วยสถานีหนึ่ง

ส่วนเหมา เจ๋อตงกับเจียง ไคเช็กก็ทำลืมๆ ไปบ้างค่ะ จดจำแล้วมันทำให้ทะเลาะกันโนะ อยากจะปรองดองก็ชูลุงซุนไว้ค่ะ ดังนั้นก็เลยไม่น่าแปลกที่จะมีการแห่แหนซุน ยัดเซ็นอย่างมากจากทั้งทางจีนแผ่นดินใหญ่เองและรัฐบาลอื่นๆ ที่อยากได้ประโยชน์จากการมีความเกี่ยวเนื่องกับจีนและซุน ยัดเซ็น ประวัติศาสตร์ชีวิตและกิจกรรมของซุนก็จะมีความนัวๆ มั่วๆ กันระหว่างตำนาน โฆษณาชวนเชื่อ และข้อเท็จจริงที่คลุกเคล้ากันอย่างเข้าเนื้อค่ะ อยู่ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะกลายเป็นลัทธิ มีเครื่องราง เหรียญหมอซุนยัดเซ็นรักษาทุกโรคอะไรงี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่รวมชาวจีนทั้งมวลทั่วโลกเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ที่มาที่ไปชัดเจน แต่ขายดี นักท่องเที่ยวชอบ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ... เหมือนเทศกาลกินเจที่กำลังเห่อกันอยู่ตอนนี้ไงคะ  

“อย่าบอกโรซี่”
คนทำงานวิชาการด้านประวัติศาสตร์จีน และจับตามองความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทย และประเทศใหญ่น้อย
0Article
0Video
0Blog