ไม่พบผลการค้นหา
"ชวลิต" เสนอผู้ว่าฯ กลุ่มจังหวัดภาคกลาง แสดงวิสัยทัศน์ผลิตผักปลอดภัยทดแทนการนำเข้าจากจีน เสียดายเงินออกนอกประเทศปีละหลายพันล้านบาท แนะส่งเสริมให้ผลิตผักเองอย่างเป็นระบบ เงินจะสะพัดหมุนเวียนในประเทศหลายรอบ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นหลังจากเรียกร้องให้รัฐบาลติดตั้งห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผัก ผลไม้ ที่นำเข้าจากจีนผ่านด่านเชียงของ จ.เชียงราย โดยไทยนำเข้าผักจากจีนผ่านด่านเชียงของ มีมูลค่าถึงปีละกว่า 3,000 ล้านบาท นั้น


"ผมเห็นว่าไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมแท้ๆ แต่กลับนำเข้าผักจากจีน ส่งผลให้เงินตราออกนอกประเทศไปอย่างไม่ควรจะเป็น" นายชวลิต กล่าว


นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ ฝืดเคืองอยู่ในปัจจุบัน เราควรประหยัดเงินตราที่จะซื้อผักจากต่างประเทศ แล้วส่งเสริมให้ผลิตเองอย่างเป็นระบบ เงินก็จะสะพัดหมุนเวียนในประเทศหลายรอบ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ผมเห็นว่า ช่วงนี้ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 กำลังพิจารณางบประมาณพอดี จึงขอฝากข้อสังเกตไปยังอนุกรรมาธิการจังหวัดและท้องถิ่นที่กำลังจะตั้งขึ้น ควรเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคกลางและเกษตรจังหวัด มาแสดงวิสัยทัศน์ในการผลิตผักปลอดภัยป้อนตลาดสี่มุมเมืองเพื่อขอรับงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัด สนับสนุนเกษตรกรต่อไป ผู้ว่าราชการจังหวัดควรได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์วางแผนหารายได้เข้าจังหวัดของตนเองผ่านการพิจารณาของ กมธ.ฯ ซึ่งมั่นใจว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถทำได้ แม้ว่าในชั้นนี้อาจจะปรับงบประมาณไม่ทันในปีนี้ แต่ปีหน้าน่าจะวางแผนได้ทัน ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะพิจารณางบประมาณ ปี 2564 แล้ว

"ผมเสียดายเงินปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ที่จะออกไปยังต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นประเทศเกษตรกรรมแท้ ๆ น่าจะวางแผนผลิตผักปลอดภัยป้อนผู้บริโภคภายในประเทศเองได้ และถ้าสามารถควบคุมการผลิตให้ถึงขั้นตรวจสอบย้อนกลับไปยังแปลงผักได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ใคร ๆ ก็ต้องการบริโภคผักปลอดภัย" นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต ยังระบุอีกว่า ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายแบนสารพิษอันตราย 3 ตัวไปแล้ว ควรจะมีทางเลือกอะไรทดแทนหรือเยียวยาเกษตรกรอย่างไรนั้น กมธ.ติดตามความเห็นของรัฐบาลอยู่ ขณะเดียวกัน กมธ.ก็ทำงานคู่ขนาน ทั้งไปศึกษา ดูงานยังพื้นที่ที่ทำโครงการเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ประสบความสำเร็จ ทั้งเชิญอาจารย์ นักวิชาการหลายมหาวิทยาลัยที่มีองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ เครื่องจักรกลการเกษตร มาให้ความรู้แก่ กมธ.ที่สภา ฯ 

นอกจากนี้ กมธ.ยินดีรับข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่มีความเห็นร่วมกันในการพัฒนาด้านการเกษตรให้ปลอดภัยทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคทั้งหมดทั้งมวลนั้น กมธ. กำลังรวบรวมจัดทำเป็นรายงานของ กมธ.เพื่อรายงานต่อสภา ฯ เป็นข้อเสนอแนะ ข้อสังเกตของสภา ฯ แจ้งไปยังรัฐบาลต่อไป

ทั้งนี้ กมธ.มีเวลาทำงานถึงวันที่ 12 พ.ย.62 นี้ ครบเวลา 60 วัน ตามที่สภา ฯ มอบหมาย ซึ่งคาดว่างานจะสำเร็จตามภารกิจที่ได้รับมาอย่างทันการณ์



ข่าวที่เกี่ยวข้อง