การขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำสหรัฐฯ ที่งานประชุมเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF 2018) เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีความพยายามจะไล่นายโรเบิร์ต มูลเลอร์ อัยการพิเศษออกจากตำแหน่ง ในระหว่างทำหน้าที่ดำเนินการสอบสวนกรณีที่รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เมื่อปี 2559 ซึ่งนายทรัมป์อาจจำเป็นต้องเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและคณะสอบสวนของนายมูลเลอร์ ในฐานที่นายทรัมป์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงทางการเมืองในครั้งนั้นด้วย
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์เมืองดาวอส นายทรัมป์ไม่ได้แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นข่าวเรื่องการไล่นายมูลเลอร์ออกแต่อย่างใด แต่กลับพูดตามสิ่งที่เตรียมมาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและวิธีทำเงินให้กับสหรัฐฯ พร้อมกล่าวย้ำถึงความสำเร็จของเขาในช่วงเวลา 1 ปีเต็มที่ผ่านมา หลังการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในเรื่องต่างๆ เช่น การปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ หรือการลดอัตราการว่างงานของชาวอเมริกัน แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะโตช้าลงจาก 3.2% เป็น 2.6% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560
นายทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาและโอกาสที่ดีที่สุดที่นักลงทุนจากทั่วโลกจะเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความพร้อมในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจอย่างมากบนเวทีโลก และเพื่อผลักดันนโยบายอเมริกามาก่อน หรือ American First ของเขานั้น นายทรัมป์พร้อมเสมอที่จะร่วมเจรจาการค้าแบบทวิภาคีกับทุกชาติที่ตั้งใจร่วมมือทางการค้ากับสหรัฐฯ หากข้อเสนอทางธุรกิจนั้น 'สร้างผลประโยชน์ให้กับชาวอเมริกัน'
อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ได้กล่าวโจมตีสื่อมวลชนขณะที่มีการถามตอบในช่วงท้ายว่า เมื่อครั้งที่เขายังเป็นแค่นักธุรกิจ สื่อมวลชนปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมาก ในทางกลับกัน พวกเขากลับแสดงท่าทีที่ 'น่ารังเกียจ โหดร้าย และหลอกลวง' (nasty, mean, and fake) เมื่อนายทรัมป์เป็นนักการเมือง ซึ่งการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำระดับสูงและสื่อมวลชนในงานจำนวนมาก ถึงขั้นส่งเสียงโห่ให้กับนายทรัมป์ด้วยความไม่พอใจ