จากกรณีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอปรับแก้กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน ส่งผลให้นักการเมืองต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุการเลื่อนเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 21 มกราคม นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การที่มีคนของรัฐบาลออกมาบอกว่าเรื่องนี้เป็นดุลยพินิจของกรรมาธิการฯ และ สนช. เพราะรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาประเด็นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ เพราะกฎหมายเลือกตั้งส.ส. เป็นกฎหมาย 1 ใน 4 ฉบับของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 4 ฉบับนี้เสร็จเรียบร้อยมีผลบังคับใช้ก็จะเข้าสู่การเลือกตั้ง
“ถ้าผู้มีอำนาจต้องการขยายเวลาการเลือกตั้งออกไปก็ต้องใช้ช่องทางของการออกกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ให้ต่อท่ออำนาจออกไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะจัดการทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวพรรคใหม่ยังไม่เสร็จแล้ว การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในพื้นที่ด้วยหลากหลายโครงการประชานิยมในรูปแบบประชารัฐ บวกไทยนิยม ที่ถมลงไปก็ยังออกดอกออกผลไม่เต็มที่พอที่จะกระชากความศรัทธาของประชาชนต่อผู้มีอำนาจให้เพิ่มมากขึ้นจนมั่นใจได้ว่าหนทางข้างหน้าจะปูด้วยกลีบกุหลาบ ด้วยเหตุผลนี้เองจึงน่าจะมีความเป็นไปได้ที่ผู้มีอำนาจจะส่งซิกไปยังสนช.ให้ขยายเวลาเลือกตั้งออกไปเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามเป้าหมาย” นายองอาจ กล่าว
ส่วนการที่ โฆษกคณะกรรมาธิการฯร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. บอกว่าการขยายเวลามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายออกไปอีก 90 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งของ คสช. ที่ 53 / 2560 ที่กำหนดกระบวนการทางธุรการของพรรคการเมืองใหม่ ที่จะเริ่มเดือนมีนาคมนี้
รวมทั้งการรีเซ็ตสมาชิกพรรค ของพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว นายองอาจ กล่าวว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าผู้มีอำนาจไม่เข้ามายุ่งกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยการใช้ มาตรา 44 ออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์ให้พรรคที่จะจัดตั้งใหม่ และบอนไซพรรคที่มีอยู่แล้ว โดยปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามปกติ
หลังจาก พ.ร.บ. ว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้เมื่อหลายเดือนก่อนก็คงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้ช่องทางการขยายเวลาเลือกตั้งออกไปผ่านการทำกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.
ดังนั้น ขอฝากไปยังผู้มีอำนาจว่าการดำเนินการทางการเมือง เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้เป็นไปในลักษณะเอาสีข้างเข้าถูมากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าถ้าเอาสีข้างเข้าถูเพิ่มมากขึ้น นอกจากสีข้างจะถลอกแล้วระวังจะถลอกไปทั้งตัว และควรเอาเวลาที่มาคิดแผนแก้เกมอำนาจ ไปแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ยังร้องระงมกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองขณะนี้ น่าจะเกิดประโยชน์กับประชาชนคนหาเช้ากินค่ำมากกว่า
ด้าน นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีระวังจะเป็นโมฆบุรุษ เป็นบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ หากผิดคำมั่นสัญญาด้วยการเลื่อนโรดแมฟเลือกตั้งซ้ำซาก
ดังนั้นขออย่าอ้างเป็นเรื่องของสนช. ฟังไม่ขึ้น ไม่มีใครเชื่อว่าสนช.ซึ่งคสช. ตั้งมากับมือ เป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สาย จะไม่รู้เห็นเป็นใจ หรือรับใบสั่งให้ขยับวันที่พ.ร.ป.ว่า ด้วยการเลือกตั้งมีผลใช้บังคับออกไปอีก 90 วัน โดยจะมาแก้ไขในชั้นกมธ. ซึ่งหากมีการขยับวันเลือกตั้งออกไปจากเดือนพ.ย.61 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยประกาศไว้ ผลเสียย่อมเกิดกับพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ให้คำมั่นสัญญาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ผลเสียที่เกิดกับตัวบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ผลเสียนั้นย่อมตกแก่บุคคลนั้นเป็นการเฉพาะ เช่น อาจถูกกล่าวว่าเป็นโมฆบุรุษ เป็นบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ เป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่พล.อ.ประยุทธ์ มีตำแหน่งเป็นนายกฯแห่งประเทศไทย ผลเสียย่อมเกิดแก่ประเทศตามไปด้วย โดยเฉพาะมิตรประเทศหรือนักลงทุน จะเชื่อมั่นประเทศไทยอย่างไรเมื่อผู้นำฝ่ายบริหารผิดคำมั่นสัญญากับประชาชนและชาวโลกซ้ำซาก จนเสียหายไปถึงหน้าตาของประเทศ
นอกจากนี้หากความเชื่อมั่นประเทศถดถอย ใครจะร้บผิดชอบ คงไม่ใช่ประชาชนรับผิดชอบแน่ เพราะประชาชนไม่ได้เลือกมา ทางแก้ในเรื่องนี้มีทางเดียว คือ นายกฯ ต้องปฏิบัติตามคำพูด ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและชาวโลก เพื่อหน้าตาประเทศ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นประเทศให้กลับคืนมา ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะเลื่อนแล้วเลื่อนอีก นอกจากเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง เพราะภาคส่วนอื่นๆพร้อมหมด โดยเฉพาะกกต.ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพ.ร.ป.ฉบับ
อย่างไรก็ตามหากมองประเด็นการรักษาคำมั่นสัญญาของผู้นำประเทศไม่ออกจริง ๆ ก็สมควรที่จะเป็นโมฆบุรุษและถือเป็นกรรมของประเทศ ซึ่งหวังว่า ฟ้ายังมีตาที่จะหยิบยื่นความยุติธรรม ความสงบสุข ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ด้วยการดลใจให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันนำพาประเทศหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ทางอำนาจ ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเฉกเช่นนานาอารยประเทศ โดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น
ขณะที่ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เสียงข้างมากให้แก้ไขมาตรา 2 กำหนดให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ 90 วันภายหลังจากที่ประกาศใช้ในราชกิจานุเบกษา ว่าไม่เชื่อว่าทางสนช.จะกล้าหมิ่นน้ำใจประชาชน เพราะวันนี้เขารู้ว่าประชาชนตั้งความหวังไว้สูงมากที่อยากเห็นบ้านเมืองกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย เพราะตอนนี้ประชาชนไม่รู้จะไปพึ่งใคร เมื่อก่อนยังมีผู้แทนส.ส. พรรคการเมือง
แต่ขณะนี้ไม่มี ดังนั้น ความต้��งการไปสู่กระบวนการเลือกตั้งจึงสูง ประกอบกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศย้ำแล้วย้ำอีกว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโรดแมป จึงทำให้ประชาชนตั้งความหวังไว้สูงมาก ทั้งนี้ มองว่ากมธ.ฯถือเป็นเสียงข้างน้อยของจำนวนสมาชิกสนช. ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ส่วนตัวมีความเชื่อลึกๆว่า สมาชิกสนช. ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งแม่น้ำ 5 สายจะเกื้อกูลกัน เมื่อนายกฯประกาศย้ำตลอดว่าอยากเห็นประเทศเป็นไปตามโรดแมป เมื่อสนช.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ 5 สาย ก็ควรจะไปในทิศทางเดียวกัน โดยในวันที่ 25 มกราคมที่จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ก็น่าจะได้ทราบกันว่าสนช.เลือกยืนอยู่ข้างใด
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าถามว่ามันส่งผลต่อการเลือกตั้งหรือไม่ อยากดูว่าในท้ายที่สุดว่ากฎหมายเขียนแบบใด ยกตัวอย่าง ให้มีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน หรือเขียนว่าให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน ซึ่งมันต่างกัน ถ้าหากเขียนว่าภายใน 90 วันก็คิดว่ายังมีช่องหายใจที่เป็นไปตามโรดแมปได้ แต่หากเขียนว่า 90 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานเบกษา ถ้าเป็นแบบนี้มันก็จะดีเลย์แน่นนอน ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นการหมิ่นน้ำใจของประชาชน
เมื่อถามว่า หากขยายระยะเวลาออกไป จะส่งผลต่อสายตานานาชาติอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เขาจะมองนายกฯเป็นตัวตลกเลย เพราะนายกฯเคยพูดและย้ำมาตลอดว่าจะมีการเลือกตั้ง รวมทั้งไปย้ำในเวทีสหประชาชาติด้วยว่าปี 2561 จะมีการเลือกตั้งและย้ำกับประชาชนทุกคืนวันศุกร์ด้วย มันจึงทำให้ทุกคนมีความหวังว่าปีนี้กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว แล้วอยู่ดีๆสนช.จะมาดับความหวัง ตนอยากให้คิดถึงประชาชน อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากถึงสนช.ให้ตระหนักถึงคำปฏิญาณตนเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆหรือลอยๆอยากให้สนช.คำนึงถือเรื่องนี้ให้มาก