ไม่พบผลการค้นหา
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวเมื่อช่วงวานนี้ (18 ม.ค.) ว่า การเข้าทำปฏิบัติการพิเศษทางการทหารของรัสเซียในยูเครน เป็นไปเพื่อความพยายามในการยุติ “สงคราม” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ยูเครนตะวันออกมายาวนานหลายปี

ในการพูดกับทหารผ่านศึก ณ นครเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ปูตินระบุว่ารัสเซียพยายามหาแนวทางในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติความขัดแย้งในพื้นที่ดอนบาสของยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมของยูเครน ที่รัสเซียคอยให้การสนับสนุนแก่กลุ่มแบ่งแยกดินแดน ที่ทำการสู้รบกับกองทัพยูเครนมาตั้งแต่ปี 2557

“ปฏิบัติการจู่โจมระดับใหญ่อันเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธหนัก ปืนใหญ่ รถถัง และเครื่องบินรบ ไม่สามารถยุติสิ่งที่เกิดขึ้นในดอนบาสตั้งแต่ปี 2557 ได้” ปูตินระบุ “ทุกสิ่งที่เราทำในวันนี้ อันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร เป็นความพยายามในการหยุดสงคราม นี่หมายความว่าปฏิบัติการของเรา เป็นไปเพื่อปกป้องประชาชนที่อยู่อาศัยในดินแดนเหล่านั้น”

ปูตินยังคงยืนยันอีกครั้งว่า รัสเซียพยายามหารือเพื่อหาข้อยุติสันติภาพ ในประเด็นความขัดแย้งของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน ก่อนการส่งกองกำลังเข้าไป และประธานาธิบดีรัสเซียยังได้ระบุอีกว่า “เราถูกหลอกและถูกโกง”

ปูตินยังได้เน้นย้ำอีกว่าพื้นที่ตะวันออกของยูเครน เป็น “ดินแดนในทางประวัติศาสตร์” ของรัสเซีย พร้อมกล่าวเสริมว่า รัสเซียยอมรับความสูญเสียของตัวเอง หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายลงในปี 2534 แต่รัสเซียยังคงต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อพิทักษ์ผู้พูดภาษารัสเซียในพื้นที่ดังกล่าวของยูเครน

ปูตินพยายามอธิบายเหตุผลในการส่งกองทัพรัสเซีย เข้าไปในยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อการปกป้องผู้พูดภาษารัสเซีย เช่นเดียวกันกับเหตุผลใน “การปลดอาวุธทางการทหาร” และ “การถอนระบอบนาซี” ในยูเครน เพื่อขัดขวางไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างยูเครนเป็นภัยต่อรัสเซีย นอกจากนี้ ปูตินยังเน้นย้ำว่า ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกปฏิเสธการใช้เหตุผล เพื่อปกปิดการรุกรานอันไร้เหตุผล

ปูตินเข้าร่วมงานเพื่อพบปะกับทหารผ่านศึก จากวันครบรอบ 80 ปีกองทัพแดงทลายการล้อมของนาซีในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งขณะนั้นมีชื่อว่าเลนินกราด ซึ่งใช้เวลานานกว่า 900 วัน และยุติลงอย่างเด็ดขาดในช่วงเดือน ม.ค. 2487 นับเป็นประวัติศาสตร์อันนองเลือดหน้าหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตในเลนินกราดไปประมาณ 1 ล้านคนตลอดการล้อมของนาซี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เสียชีวิตจากการอดอาหาร

ปูตินวางพวงหรีดในสุสานรำลึกปิสการ์ยอฟเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพลเรือนอันเป็นเหยื่อของการล้อมเมืองกว่า 420,000 ราย และทหารของโซเวียตอีก 70,000 นาย นอกจากนี้ สุสานดังกล่าวยังเป็นสถานที่ฝังศพน้องชายของปูตินเอง ซึ่งเสียชีวิตลงขณะยังเล็กระหว่างการล้อมเมืองโดยนาซี ทั้งนี้ ศพของน้องชายปูตินถูกฝังในหลุมฝังศพหมู่ของสุสานดังกล่าว

ปูตินยังได้เดินทางไปเยือนโรงงานผลิตอาวุธป้องกันประจำนครเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งประธานาธิบดีรัสเซียให้คำสัญญากับคนงานว่า รัฐบาลจะมอบเงินช่วยเหลือที่มากขึ้น ปูตินยังตอกย้ำอีกว่า “ความกล้าหาญและการเป็นวีรบุรุษของทหารของเรา” และโรงงานผลิตอาวุธป้องกัน จะเป็นประโยชน์แก่การรับประกันชัยชนะของรัสเซียได้ นอกจากนี้ ปูตินพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีพลัง แต่กระแอมอยู่หลายครั้งว่า รัสเซียสามารถผลิตขีปนาวุธป้องกันทางอากาศได้มากกว่า 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ


ที่มา:

https://www.washingtonpost.com/world/putin-ukraine-action-aimed-to-end-war-raging-since-2014/2023/01/18/718455f4-972a-11ed-a173-61e055ec24ef_story.html