วันที่ 25 ก.พ. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่สุจริตใจในการบริหารประเทศ เอาพวกพ้อง ไร้ความสามารถทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย อาจนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ในไทย และเชื่อได้ว่าท่านจะเป็นคนสร้างประวัติศาสตร์ ทำลายความมั่นคงของประเทศทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา โดยวิกฤตใหญ่ ณ ปัจจุบันคือความเหลื่อมล้ำ เมื่อคนรวยไม่มีโอกาสจน และคนจนไม่มีโอกาสรวยแล้ว
นายสุทิน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรี แสดงท่าทีให้เห็นว่าเป็นพวกไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่ความจริงคือการเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ขนาดไหน กลับอ้างว่า ยังดี ฐานรากมั่นคง คำถามคือ "เราอยู่คนละประเทศหรือไม่" ขณะที่งานวิจัยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุชัดเจนว่า ความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจนั้นเพิ่มขึ้นสูงเป็นอย่างมาก บริษัทเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัทอีก 95 เปอร์เซ็นต์ ครองรายได้เพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สภาพความเหลื่อมล้ำและการบริหารเช่นนี้ของรัฐบาล ส่งผลต่อผลิตภาพและพลวัต ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจไทยกำลังไร้พลวัต ไม่มีพลังขับเคลื่อน กระทบกับการส่งออกที่ติดลบยาวนานหลายไตรมาส
ขณะที่หนี้สินครัวเรือน ปัจจุบันพุ่งขึ้น 80 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี หรืออันดับ 2 ของเอเชีย ด้านข้อมูลจากกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า ล่าสุดมีคดียึดทรัพย์สูงสุดในรอบ 5 ปี และมีลูกหนี้รายย่อยเพิ่มมากขึ้น นี่คือข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงความลำบากของพี่น้องประชาชน
นายสุทิน กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เป็นเพราะสถานะของ นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจ ทำให้ต่างชาติไม่เปิดรับและเจรจาในรูปแบบปกติ แม้จะมีความพยายามฟอกตัวเองผ่านการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่สามารถกลับมามีความสัมพันธ์และการเจรจาในรูปแบบปกติได้ โดยจีดีพีไทย 70 เปอร์เซ็นต์พึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศ ทำให้คุณสมบัติและความชอบธรรมของนายกฯ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการต่อรอง
"ประชารัฐ" สารตั้งต้นความเหลื่อมล้ำ
นายสุทิน ยกงานวิจัยจากสถาบันทีดีอาร์ไอ โดยระบุว่า รากลึกของความเหลื่อมล้ำคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย จะมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสูงถึง 76 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับเชื่อมโยงไปถึง ตัวเลขความร่ำรวยของ 10 มหาเศรษฐีชาวไทย ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2557-2563 หรือนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศ สวนทางกับคนส่วนใหญ่และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 79.1 เปอร์เซ็นต์
นายสุทิน กล่าวว่า ประชารัฐคือสารตั้งต้นของความเหลื่อมล้ำ แม้นายกฯ จะอธิบายว่า ประชารัฐคือความร่วมมือระหว่าง รัฐ เอกชน และประชาชน แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ไม่มีประชาชนในสมการดังกล่าว ซึ่งตนขอเรียกว่า “เอกรัฐ”
“เอกชนบวกรัฐ เท่านั้น ไม่มีประชาชนเลย นี่คือข้อผิดพลาด เพราะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหารประเทศ เข้ามากำหนดทิศทาง โดยเหมือนรัฐติดหนี้บุญคุณ ผ่านการคณะทำงานขับเคลื่อนร่วมกันกับภาครัฐ 12 ชุด พวกนี้นั่งร่วมกับรัฐมนตรีกำหนดทิศทางนโยบายประเทศ”
นายสุทิน กล่าวว่า รูปแบบที่เกิดขึ้นเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนใหญ่ โดยสื่อนอกอย่างเอเชียไทมส์ รับทราบและรายงานชัดเจนว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เอื้อ 24 นายทุนใหญ่ เช่น กลุ่มการค้าซีพี ที่มีการต่อสัญญาโทรคมนาคม , ไทยเบฟเวอเรจ , สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่ได้ประโยชน์จากการประกาศขึ้นภาษีสรรพาสามิต รวมถึงยังมีความร่วมมือในภาคการเกษตรรวมกับบริษัทมิตรผล โดยลงนามภายใต้ยุทธศาสตร์ประชารัฐ
“ปล่อยนายทุนใหญ่ในประเทศปิดประตูตีแมวในไทย กลุ่มเหล่านี้ได้ประโยชน์เต็มๆ" นายสุทิน ระบุ
นายสุทิน ยังอ้างงานวิจัยจาก ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุความเหลื่อมล้ำในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังเกิดจากรัฐบาลทอดทิ้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมรายย่อย ขาดการสนับสนุนที่ดีจากรัฐ ทั้งๆ ที่รายย่อยและรากหญ้าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการหมุนเวียน
“วันนี้พอท่านรู้ตัวว่าจะต้องทำฐานราก แต่ไม่ทันแล้วครับ มันไปแล้วครับ โครงสร้างมันไปแล้ว”
“ถามใจตัวเองหน่อยมีชาวบ้านอยู่ไหม หรือมีแต่กลุ่มทุน ทำไมมีแต่กลุ่มทุน ไปเอาเงินเขามาแล้วยึดอำนาจพวกผมหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่” นายสุทินกล่าวและว่า รัฐบาลยังซ้ำเติมประชาชนและเอื้อนายทุน ด้วยกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มีผลให้ชาวบ้านเสียภาษีมากขึ้น ขณะที่นายทุนลดลง โดยเมื่อ 2 เดือนก่อนยังมีการออกมติ ครม.ลดอัตราภาษีให้กับกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร และธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี
นายสุทิน กล่าวต่อว่า นโยบายที่รัฐบาลอ้างว่าช่วยเหลือประชาชนอย่างโครงการบัตรคนจนและชิมช้อปใช้ พบว่า สุดท้ายแล้วเงินก็วิ่งไปสู่นายทุนใหญ่ กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายจริงแต่ไม่กระตุ้นให้เกิดการผลิต ไม่ได้ออกแบบให้เกิดความสร้างสรรค์หรือพัฒนาแต่อย่างใด
ทั้งนี้เบื้องหลังลึกๆ ของความขัดแย้งในสังคม มีสาเหตุมาจากความเหลื่อมล้ำนั่นเอง ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังเดินไป ตนเชื่อว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในอนาคตก็เป็นได้แค่เป็นลูกค้าและลูกจ้างของนายทุนใหญ่
“วันนี้เห็นแล้วว่า ท่านแก้ไขปัญหาไม่ได้ เอื้อคนรวย ไม่ได้ช่วยคนจนอย่างแท้จริง ถ้าให้อยู่ต่อไป ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำยากเกินจะเยียวยา และวิกฤตสังคมนี้จะเกิด แล้วถ้าเกิดลำบากกันทั้งประเทศ ผมจึงขอให้ท่านเสียสละต่อบ้านเมือง” นายสุทิน กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง