เริ่มด้วยตลาดหุ้นไทยที่เคยมีดัชนีสูงแตะ 1,850 จุด ช่วงปี 2561 หลุดต่ำลงไปถึงหลัก 900 จนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องงัดไม้ตายอย่าง ‘เซอร์กิตเบรกเกอร์’ หรือการหยุดซื้อขายโดยอัตโนมัติเป็นเวลาชั่วคราว 30 นาทีมาใช้ ไล่มาที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมตกต่ำที่สุดในรอบ 21 เดือน
อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังเรียกประชุมนัดพิเศษเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 1 ต่อปี ซึ่งก็ต่ำท่ีสุดในรอบ 20 ปีแล้ว ลงไปเป็นร้อยละ 0.75 ต่อปีอีก และปิดท้ายด้วยตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ประจำปี 2563 จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มาแรงแซงทุกสถาบันด้วยค่าติดลบถึงร้อยละ 5.3
โควิด-19 ที่มีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเท่านั้น แต่เชื้อไวรัสดังกล่าวทำร้ายทุกประเทศที่มันเดินทางไปถึงในมิติที่ไม่แตกต่างกันมากนัก และถ้าหากโลกยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ความเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับ 'เศรษฐกิจถดถอย' ก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว
เศรษฐกิจถดถอย หรือ recession เป็นคำศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เอาไว้ใช้อธิบายสภาวการณ์ทางหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง โดยจะวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไตรมาสปัจจุบันนำไปเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หากติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส ก็จะถือว่าประเทศเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าไทยเคยเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง คือ ปี 2540 ที่มีวิกฤตต้มยำกุ้ง, ปี 2551 ที่มีวิกฤตการเงินโลกหรือที่รู้จักในชื่อวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤตซัพไพรม์, ปี 2556 ที่เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว และในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปี 2556 - 2557 ที่ประเทศไทยมีความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งตอนนั้น จีดีพีในไตรมาส 4/2556 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ส่วนจีดีพีในไตรมาส 1/2557 อยู่ที่ติดลบร้อยละ 0.5 ก่อนจะปรับตัวขึ้นมาเป็นร้อยละ 0.4 ในไตรมาส 2/2557
อย่างไรก็ตาม สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นบีอีอาร์) ซึ่งเป็นผู้ประกาศสภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ชี้แจงว่า ปัจจุบันมาตรฐานที่ใช้ในการประกาศสภาวะดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่เพียงจีดีพีติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาสอีกต่อไป แต่ต้องไปดูสภาพแวดล้อมร่วม อาทิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตกลงอย่างต่อเนื่องและกินระยะเวลาหลายเดือนซึ่งอาจสะท้อนได้ชัดเจนจากตัวเลขจีดีพีและรายได้ที่แท้จริง รวมไปถึงอัตราการว่างงาน กำลังการผลิต หรือสัดส่วนทั้งค้าปลีกและค้าส่ง
ด้านนิตยสาร ฮาร์เวิร์ด บิสซิเนส รีวิว ยังอธิบายรูปแบบเพิ่มว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจำแนกที่มาได้เป็น 3 ประเภทคือ
บทความชิ้นล่าสุดจากสำนักข่าวบีบีซี ชี้ว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งนี้แพร่หลายไปแทบทุกอุตสาหกรรมและในทุกประเทศที่เชื้อเดินทางไปถึง
ตลาดหุ้นทั่วโลกต้องแบกรับกับความไม่มั่นใจของนักลงทุน ดัชนีฟุตซี, ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ รวมถึงดัชนีนิกเคอิเริ่มร่วงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม นอกจากนี้ทั้งเอฟทีเอสอีและดาวโจนส์ก็เพิ่งทำสถิติร่วงหนักสุดภายในวันเดียวในรอบกว่า 30 ปีไปด้วย
ขณะเดียวกัน ถ้าจะมีอุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นอุตสาหกรรมการบินที่ต้องหยุดชะงักลงและขาดรายได้แทบจะทั้งหมดจากมาตรการปิดประเทศ ส่งผลให้หลายสายการบินต้องเลือกยกเลิกเที่ยวบินอย่างหมดทางเลือก
สายการผลิตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจสำคัญที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โรงงานในจีนจำนวนมากถูกสั่งปิดดำเนินการในช่วงที่ประเทศปรับใช้มาตรการสูงสุดในการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้สายการผลิตต้องหยุดตัวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยประเทศจีนมีสัดส่วนในการผลิตกว่า 1 ใน 3 ของโลก
แม้แต่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้เช่นเดียวกัน โดยราคาทองโลกในช่วงเดือนมีนาคมก็มีการปรับลดอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่ปรับลดไปอยู่ในจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2544 และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
ฝั่งองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ก็ออกมาประกาศว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกปีนี้จะต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยจีดีพีโลกน่าจะโตราวร้อยละ 2.4 เท่านั้น จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ร้อยละ 2.9 และหากสถานการณ์ “ยังคงอยู่ต่อไปด้วยความรุนแรงที่มากขึ้น” จีดีพีก็อาจจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 เท่านั้น
มาตรการที่ใช้ในการควบคุมและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศแท้จริงแล้วไม่ได้ต่างกันมากนัก คือ 1. นโยบายทางการเงิน ที่บังคับใช้ผ่านธนาคารกลางของแต่ละประเทศ 2. นโยบายทางการคลัง ที่บังคับใช้ผ่านกระทรวงการคลัง
หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์สรวบรวมนโยบายที่แต่ละประเทศใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจของตัวเองไว้ดังนี้
สหรัฐฯ
สหภาพยุโรป
แคนาดา
ญี่ปุ่น
เกาหลีใต้
จีน
เมื่อหันกลับมามองนโยบายช่วยเหลือเศรษฐกิจจากฝั่งประเทศไทย ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังเช่นเดียวกัน ซึ่งในฝั่งของนโยบายการเงิน ก็มีทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.75 รวมถึงมาตรการช่วยเหลือตลาดเงินตลาดทุนด้านสภาพคล่องผ่านธุรกรรม repo ทั้งยังมีมาตรการลด-พักดอกเบี้ยช่วยลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย หรือมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ
ขณะที่นโยบายการคลังที่เห็นชัดเจนที่สุดก็ดูจะเป็นนโยบายช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบรายละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมไปถึงมาตรการจากฝั่งประกันสังคม ทั้งการลดเงินสมทบ วงเงินช่วยเหลือเมื่อถูกเลิกจ้าง ถูกพักงาน หรือแม้แต่เงินทุนรักษาเมื่อติดโรคโควิด-19 ทั้งยังมีมาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ต่างๆ รวมไปถึงแนวโน้มในการออก พ.ร.ก.กู้เงินมูลค่า 200,000 ล้านบาท เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้มากที่สุด คือนโยบายต่างๆ ที่เปรียบเสมือนเครื่องช่วยหายใจ ของทุกประเทศออกมาไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ได้ เพราะการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการยุติการแพร่ระบาดให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่สิ่งที่นโยบายเหล่านี้ทำได้คือลดการยกระดับจากวิกฤตสุขภาพเป็นวิกฤตเศรษฐกิจและท้ายที่สุดกระทบจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เมื่อไหร่ก็ตามที่วิกฤตสุขภาพไม่อยู่แค่ฝั่งสุขภาพ เมื่อไหร่ก็ตามที่ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสตัวนี้ได้รับผลกระทบ เมื่อผู้คนว่างงานจำนวนมาก ธุรกิจไม่มีเงินจ่ายหนี้ ประชาชนไม่มีเงินเพียงพอต่อการยังชีพ เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็อยู่ไม่ไกลอีกต่อไป
อ้างอิง; BI, Forbes, HBR, NYT, JT, BBC, WP, CNBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;