ไม่พบผลการค้นหา
กรีนพีซแสดงความยินดี 'กรมควบคุมมลพิษ' เริ่มดำเนินการทดสอบระบบการรายงานคุณภาพอากาศตามดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา โดยปรับปรุงดัชนีคุณภาพอากาศโดยใช้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ในการคำนวณ

นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “กรีนพีซเห็นว่าการนำเอา PM2.5 เข้ามาคำนวณในดัชนีคุณภาพอากาศ เป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อกรกับวิกฤตมลพิษอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้คน และเป็นขั้นตอนสำคัญในการสื่อสาร 'คุณภาพอากาศ' และระบุผลกระทบต่อสุขภาพของคนกลุ่มต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและสะท้อนถึงความเป็นจริง ความพยายามในการพัฒนาการรายงานดัชนีคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษในครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะปกป้องสุขภาพคนและสิ่งแวดล้อม”

อย่างไรก็ตาม กรีนพีซมีข้อสังเกตว่าการรายงานคุณภาพอากาศ (Air Quality Reporting) ใหม่นี้เป็นการรายงานดัชนีคุณภาพอากาศโดยใช้ 'ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง' ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าคุณภาพอากาศเป็นเช่นนั้นตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งจะแตกต่างอย่างมากจากการรายงานดัชนีคุณภาพอากาศรายชั่วโมง ซึ่งจะระบุถึงคุณภาพอากาศ ณ ชั่วโมงดังกล่าว

เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตมลพิษทางอากาศเกิดขึ้นหรือการที่ระดับมลพิษทางอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากอิทธิพลของกระแสลม จะส่งผลให้ดัชนีคุณภาพอากาศเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การรายงานค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่สามารถตอบรับต่อวิกฤตมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนได้ทันท่วงที ด้วยเหตุนี้ กรีนพีซเสนอแนะให้กรมควบคุมมลพิษมีการรายงานดัชนีคุณภาพอากาศที่รวม PM2.5 โดยใช้ค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตมลพิษทางอากาศขึ้น

ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กรีนพีซทำงานรณรงค์ภายใต้โครงการ "ขออากาศดีคืนมา หรือ Right to Clean Air" ด้วยความเชื่อมั่นว่าทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด โดยทำงานร่วมกับชุมชนและภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเพื่อขับเคลื่อนให้รัฐบาลลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังต่อปัญหาเร่งด่วนด้านสุขภาพและสร้างแผนปฏิบัติการที่หนักแน่นกว่าที่เป็นอยู่เพื่อทําให้อากาศดีขึ้น ลดมลพิษและปกป้องชีวิตคน

โดยข้อเรียกร้องของกรีนพีซต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

●   ใช้ค่าฝุ่นละออง PM2.5 มาคํานวณดัชนีคุณภาพอากาศ

●   ติดตั้งตรวจวัดและรายงาน PM2.5 ทุกสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วประเทศ

●   ปรับปรุงมาตรฐานการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2), ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และฝุ่นละออง ขนาดเล็กทั้ง PM10 และ PM2.5 ให้สอดคล้องกับข้อแนะนําขององค์การอนามัยโลก

●   กําหนดค่ามาตรฐาน PM2.5 และปรอทที่แหล่งกําเนิดที่อยู่กับที่รวมถึงการตรวจวัดและรายงานการปล่อย PM2.5 และปรอทจากปล่องโรงไฟฟ้า

●   ส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงสะอาดในภาคการขนส่งและระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้นบริหารจัดการอุปสงค์เพื่อลดการเดินทางที่ไม่จําเป็น

●   พัฒนาและส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะและรูปแบบการขนส่งสินค้าที่ประหยัดพลังงานที่สนับสนุนและเอื้อให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้มากขึ้น

●   จัดการสิ่งแวดล้อมด้านการขนส่งทางถนนโดยการส่งเสริมให้มีการพัฒนาและใช้พลังงานสะอาด สนับสนุนการใช้จักรยาน การเดิน ยานพาหนะไฟฟ้าและการส่งเสริมการขับขี่ที่ประหยัดเชื้อเพลิง (Eco driving)

●   ดำเนินการทางด้านนโยบายภายใต้วิสัยทัศน์ภูมิภาคอาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563 (Haze-free ASEAN by 2020) นอกเหนือจากการควบคุมและป้องกันการเผาวัสดุการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูก ป่าไม้ และพื้นที่สงวนแล้ว

●   จะต้องรับประกันว่ามีการติดตามตรวจสอบและรายงานความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และสารมลพิษทางอากาศอื่นๆ ที่เป็นภัยคุกคามสุขภาพอนามัยของประชาชน เช่น โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) โดยสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้