ไม่พบผลการค้นหา
สถานการณ์เงินหยวนอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 6.9646 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงเช้าวันนี้ (31 ต.ค.) สะท้อนความตึงเครียดที่เป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ

นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี20 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ ทำให้สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่าผู้นำทั้งสองประเทศอาจพบกันนอกรอบเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยด้านสงครามการค้า หลังจากสหรัฐฯ โจมตีว่าจีนละเมิดสิทธิบัตรของบริษัทเอกชนสัญชาติอเมริกันที่ไปลงทุนในจีน พร้อมประกาศตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน จนนักวิเคราะห์มองว่านโยบายดังกล่าวทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามการค้า

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงแตะ 6.9574 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงบ่ายวานนี้ (30 ต.ค.) และเปิดตลาดเช้านี้ (31 ต.ค.) ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยมาอยู่ที่ 6.946 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สื่อต่างประเทศระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือภาพสะท้อนความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ซึ่งกำลังประกาศสงครามการค้าระหว่างกัน

โดยบลูมเบิร์กรายงานว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา จีนมีความผันผวนของเงินทุนไหลออก บ่งชี้ว่าภาวะค่าเงินหยวนอ่อนค่าอาจจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจไปแตะถึง 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่ บีบีซีรายงานว่า หากค่าเงินหยวนอ่อนลงจนแตะถึงระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงิน ซึ่ง 'จูเลียน อีแวนส์ พริตชาร์ด' นักวิเคราะห์ของ Capital Economics ประเมินว่าในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ ค่าเงินหยวนจะอ่อนลงเรื่อยๆ จนน่าจะแตะ 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในที่สุด ซึ่งเป็นผลจากที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ สวนทางกับทิศทางการเติบโตในด้านเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของจีน (พีบีโอซี) ยืนยันว่าจะไม่เข้าแทรกแซงค่าเงินหยวนอย่างแน่นอน เพราะยิ่งแทรกแซงจะยิ่งเป็นผลดีต่อสหรัฐฯ และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จีน เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า จะพยุงสภาพคล่องในตลาด และจะนำเงินลงทุนระยะยาวกลับมาตลาดหุ้นจีนให้มากขึ้น รวมถึงหนุนมาตรการต่างๆ เช่น การควบรวมและซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียน และให้ซื้อหุ้นคืน และลดการแทรกแซงการซื้อขายโดยไม่จำเป็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: