วันที่ 1 พ.ย. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวในวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะมีการอพยพคนไทยในอิสราเอล กลับมาเป็นเที่ยวบินครั้งสุดท้าย ว่า หน้าที่ของรัฐบาลถ้ามีคนแสดงเจตจำนงค์ประสงค์กลับ เราต้องจัดหาเที่ยวบินให้อย่างเหมาะสม เที่ยวบินครั้งถัดไปจึงอาจเป็นลักษณะการเช่าเหมาลำ ส่วนถ้าใครจะเดินทางกลับมาเองแล้วนำตั๋วเครื่องบินมาเบิกก็จะพิจารณาตามจำนวนผู้เดินทางกลับ หากมีเพียงหลักสิบหรือไม่กี่คน รัฐบาลก็จะดำเนินการเรื่องค่าใช้จ่ายให้ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าอยากให้คนไทยเดินทางกลับมาโดยเร็วที่สุด ฉะนั้นหากเช่าเครื่องบินเหมาลำได้เราก็จะทำให้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง บ่ายนี้ตนจึงมีนัดหารือพูดคุยกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยท่านจะโทรติดต่อเข้ามาหาตน เพื่อติดต่อพูดคุยและยกระดับการเจรจาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมย้ำว่าขอวิงวอนอ้อนวอนให้พี่น้องคนไทยกลับมาเถอะ เพราะขณะนี้เราสามารถบริหารจัดการอพยพคนได้ตามที่เคยพูดไว้แล้ว ว่าจะนำแรงงานกลับมาให้หมด แต่ตอนนี้คนที่แสดงเจตจำนงค์จะขอเดินทางกลับยังถือว่าน้อยอยู่ จึงหวังว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตอนนี้ ส่วนการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันยืนยันว่ายังพูดคุยกันอยู่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามถึงกรณีที่ ทีมงานของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้เดินทางไปอิหร่าน และได้พบกับตัวแทนของกลุ่มฮามาส โดยเปิดเผยว่าจะมีข่าวดีแรงงานไทยได้รับการปล่อยตัวนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น เพราะอย่างที่บอกเราพยายามเจรจาอยู่ตลอด และตามที่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่งมาก็เป็นเชิงบวก แต่ยังไม่อยากให้ความคาดหวังที่เกินไป เพราะอยากดูที่ผลงานมากกว่า
เมื่อถามย้ำว่า การเจรจาปล่อยตัวแรงงานไทยจะมีการนำไปพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีหลายวาระที่จะต้องพูดคุย อาทิ เรื่องผลประโยชน์การจ่ายเงินชดเชยแรงงานไทย กรณีนายจ้างอิสราเอลไม่ให้ความเป็นธรรม และเรื่องการอำนวยความสะดวกของคนไทยที่จะเดินทางกลับประเทศ เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่สำคัญ