ไม่พบผลการค้นหา
กระทรวงสาธารณสุข แถลงพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มอีก 3 ราย โดยเพิ่งเดินทางกลับจากอิตาลี 2 ราย และผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่กลับจากประเทศอิตาลี 1 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยแล้ว 53 ราย

วันที่ 10 มี.ค. 2563 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 กล่าวว่า พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 3 คน ทำให้มีผู้ป่วยรวม 53 คน โดย เป็นหญิง อายุ 41 ปี ไม่มีประวัติเดินทางต่างประเทศ แต่สัมผัสกับผู้มีประวัติป่วย รายที่ 45 ที่เดินทางกลับมาจากอิตาลี ขณะนี้รักษาตัวที่รพ.ราชวิถี อีก 2 คน เป็นสามี-ภรรยากัน โดยภรรยา มีประวัติเดินทางมาจากอิตาลี ขณะนี้รักษาตัวที่ รพ.ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ของผู้ป่วยเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด และเป็นการติดต่อจากกลุ่มคนที่มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศ

ส่วนสถานการณ์ทั่วโลกจะเห็นว่า พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในอิตาลี และมีสถานการณ์การระบาดของโรค แซงหน้าประเทศเกาหลีใต้แล้ว และวันนี้ทางการอิตาลีได้มีการปิดประเทศเพื่อควบคุมโรค จะเห็นได้ว่ามีการดำเนินการตามรอยประเทศจีนในการควบคุมโรค พร้อมกันขอให้จับตาดูประเทศที่มีสถานการณ์การระบาดหรืออัตราการป่วยเพิ่มสูงให้เฝ้าระวังเลี่ยงการเดินทางได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรป

นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนกรณีการพบว่ามีพนักงานในบริษัท แกร๊บ ในสิงคโปร์ ป่วยอ้างหลังมีประวัติเดินทางมาไทย ทำให้ต้องปิด 2 บริษัทเพื่อทำความสะอาดว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ เพราะว่าทั้ง 2 ประเทศ คือ ไทยและสิงคโปร์ เป็นพื้นที่ที่มีการระบาดทั้งคู่ แต่คาดว่าไม่น่าจะป่วยจากไทย ส่วนกรณีหญิงออสเตรียป่วยติดเชื้อโควิด มีประวัติมาไทยนั้นก็ยังอยู่ในระหว่างการประสานขอข้อมูล ส่วนกรณีการพบเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ป่วย และรักษาตัวในสังกัดรพ.กทม. ขณะนี้ยังเร็วเกินไปจะให้คำตอบ เพราะต้องรอการตรวจยืนยันห้องปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ และประวัติในทางระบาดวิทยา คาดว่า จะสามารถสรุปได้พรุ่งนี้ (11 มี.ค.)

ส่วนกรณีปัญหาสถานที่รองรับผู้เฝ้าระวัง 14 วัน ในกลุ่มแรงงานกลับจาเกาหลีใต้ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่พร้อม และดูไม่อำนวยความสะดวกนั้น นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมสถานที่ ขณะนี้ผู้ที่อยู่ในระบบเฝ้าระวัง ต้อง พักดูอาการก่อนที่โรงแรม ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ หากสถานที่ทางราชการจัดเตรียม หากเสร็จเรียบร้อยก็จะย้ายผู้ป่วยระวังไปพักทันที

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 % จะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่มาจากแบคทีเรียและไวรัสได้ แต่การใช้แอลกอฮอล์เข้มข้นฉีดพ่นโดยตรง อาจทำให้ผิวหนังบริเวณเปื่อย จึงมีการผสมกลีเซอรีน เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น ทั้งนี้ได้มีการแจกสูตรการผลิตเจลล้างมือ หากประชาชนสนใจ สามารถเปิดดูสูตรได้ที่เว็บไซด์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ ในยูทูป ที่มาจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สำหรับราชกิจจาฯ เรื่องของเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ย้ำว่า ต้องอ่านรายละเอียดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ยืนยัน ไม่ได้ห้ามผลิตเจลล้างมือ แต่ต้องการให้การผลิตเจลล้างมือ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นไปตามมาตรฐาน พ.ร.บ.เครื่องสำอาง คือ ต้องมีแอลกอฮอล์เข้มข้นร้อยละ 70 ซึ่งปัจจุบันมีสูตรตำรับอยู่ที่ 2,613 ตำรับ มีสถานที่ผลิต 766 แห่ง และกำลังการผลิตประมาณเกือบ 90 ตัน หรือประมาณ 197,500 กระปุก หรือ 1,780,000 หลอด ซึ่ง หากพบผู้ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งการผลิต และนำเข้า เจลแอลกอฮออล์ไม่ได้มาตรฐาน หรือ ต่ำกว่าร้อยละ 70 จะมีบทลงโทษฐานผิดกฎหมายเครื่องสำอาง มีโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับ 2 แสนบาท ส่วนคนขายมีโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 5 หมื่นบาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง