ผบ.ร้อยฯ ได้มาเห็น สั่งลงโทษด้วยการให้นำสับปะรดลูบกับทรายและให้บ้วนน้ำลายใส่ จากนั้นได้สั่งให้เพื่อนกลุ่มงานรับประทาน
เปิดบันทึกพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในฐานะนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 6 บอกเล่าถึงการใช้ชีวิตจริงเมื่อครั้งเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ในช่วงปีพ.ศ.2506 - 2508 ผ่านหนังสือ The Truth 1 ความจริงที่เป็นเรื่องจริง ตอนหนึ่งว่า
"1 พฤษภาคม พ.ศ 2506 คือปีที่วิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลง จากนักเรียนมัธยมมาเป็นนักเรียนเตรียมทหารที่มีกฎระเบียบข้อบังคับ และวินัยเข้ามาควบคุมวิถีปฏิบัติ ช่วงการเป็นนักเรียนใหม่นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน สวมเสื้อแขนสั้นสีขาวติดกระดุมคอ ใส่รองเท้าหนังสีดำดูตัวเองแรกๆแล้วตลกดี รุ่นพี่สั่งอะไรก็ทำหมด ทั้งๆมีเหตุผลบ้าง ไม่มีเหตุผลบ้าง สักระยะหนึ่งกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นเกมที่พี่สอนน้องให้มีความอดทนอดกลั้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจในชีวิตผมไม่เคยเป็นลม แต่การเข้าเป็นนักเรียนใหม่เตรียมทหารวันแรก ผมเป็นลมล้มทั้งยืนจึงคิดในใจว่าเรานี้อ่อนแอมากจะต้องทำทุกอย่างให้เข้มแข็งและแข็งแรงขึ้นให้ได้"
อดีตผู้นำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ตวัดปากกาบันทึกลงหนังสือส่วนตัวถึงความทรงจำสุดโหดในชีวิตการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เกิดขึ้นเมื่อปี 2508 - 2512 หลังจากเป็นนักเรียนนายร้อย ที่ศูนย์ฝึกเบื้องต้นของค่ายธนะรัชต์อําเภอปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยระบุว่า
"ในการฝึกยิงปืนและการฝึกทางยุทธวิธีเบื้องต้น จำเป็นต้องไปฝึกที่สนามเส้นทางจากกองร้อยที่พักประมาณ 4-5 KM ปกติหลังจากการฝึกจะมีรถทหารมารับกลับ แต่วันนั้น ผบ.ร้อยฯ ได้สั่งให้พวกเราเดินกลับเอง ระยะทางถือว่าไม่ไกลมากนัก แต่ที่สำคัญคือให้พวกเราถอดรองเท้าคอมแบทแขวนคอและเดินเท้าเปล่าบนถนนลูกรังอากาศที่ร้อนจัดของเดือนมีนาคมทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนเดินอยู่บนเข็มหรือหนามที่แหลมคม นับเป็นที่สุดของความอดทน ระหว่างทางได้มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งซื้อสับปะรด แต่ในขณะที่จะรับประทาน ผบ.ร้อยฯ ได้มาเห็น สั่งลงโทษด้วยการให้นำสับปะรดลูบกับทรายและให้บ้วนน้ำลายใส่จากนั้นได้สั่งให้เพื่อนกลุ่มงานรับประทาน รวมไปถึงระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารมีบางมื้อ ผบ.ร้อยได้สั่งให้หยุดรับประทานและเปลี่ยนที่นั่งจากนั้นสั่งให้รับประทานอาหารจากจานที่อยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นของใครก็ไม่ทราบ "ต้องทาน" นึกภาพแล้วกันว่าความรู้สึกจะเป็นเช่นไร
การเดินทางไปรับประทานอาหารทุกมื้อต้องเดินแถวอย่างเป็นระเบียบเท้า พร้อมด้วยการสวนสนามบ้านบ้าง ถือเป็นปกติ แต่มีบางวันพวกเราถูกสั่งให้คลาน กลิ้งยึดพื้นลุกนั่งตลอดการเดินทางถนนที่เป็นฝุ่นลูกรังและยังเต็มไปด้วยหนามโคกกระสุน (ลักษณะดอกคล้ายหอยเม่นเล็กๆ) เมื่อมือและร่างกายโดนหนามมันจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ "เจ็บและแสบสุดๆ"
1 เดือนของการฝึกภาคสนาม ผู้ปกครองและญาติของนักเรียน ได้เขียนจดหมายส่งมาหานักเรียนเป็นจำนวนมาก แต่ ผบ.ร้อยฯได้เปิดจดหมายทั้งหมดออกดูก่อน และได้ฉีดจดหมายเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาคลุกปนกัน จากนั้นจึงนำเข้าไปใส่ ในซองจดหมายแล้วส่งให้นักเรียนตามชื่อหน้าซอง อยากบอกว่าใครอ่านรู้เรื่องก็สุดยอดแล้ว และถ้าผู้ปกครองท่านใดมาเยี่ยมนักเรียนผบ.ร้อยฯจะสั่งลงโทษนักเรียนผู้นั้นด้วยการวิ่งรอบรถยึดพื้นหรือลงโทษอย่างอื่นบ้างเอาหน้าผู้ปกครอง "พวกเราผิดด้วยหรือ"
วันหนึ่ง ผู้บังคับหมวดได้สั่งการเป็นแนวทางปฏิบัติในบางเรื่อง นักเรียนทุกคนจึงถือปฏิบัติตามนั้น แต่มาวันหนึ่ง ผบ.หมวด ได้ถามว่าใครได้ยินอย่างที่สั่งบ้าง ผมจึงยกมือขึ้นและเพื่อนอีกหลายคนที่ยกมือขึ้นตาม ผบ.หมวดพูดขึ้นว่า "ผมเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ" และได้สั่งลงโทษทุกคนที่ยกมือด้วยการให้ลงไปคลายในคูน้ำหน้ากองร้อย
หลังรับประทานอาหารเย็นก่อนจบการฝึก ผมได้ถูกนายทหารใหม่ทั้ง 5 นาย เรียกมาพบและสั่งลงโทษเป็นเวลานานกว่าชั่วโมง ด้วยการยึดพื้น ลุกนั่ง หมอบคลาน ควงสว่าน จนผมหมดแรงและอาเจียนออกมาจนหมด และหนำซ้ำยังสั่งให้ผมกลิ้งไปทับอาเจียนอีก ร้อยตรีประยุทธ์ ทับเจริญ คงเห็นใจและสงสารผม จึงขอเป็นผู้ซ่อมแต่เพียงคนเดียวต่อไปอีกสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นได้เรียกผมมานั่งคุยด้วย ผมจึงได้มีโอกาสถามว่า "ซ่อมผมด้วยความผิดเรื่องอะไร" เพราะโดยปกติผมเป็นคนที่อยู่ในกฎระเบียบและวินัยมาตลอด ร้อยตรีประยุทธ์ตอบว่า "ผมทำหน้าล่อกแล่กในแถว" จริงๆแล้วผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุผลซึ่งผมก็ยัง "งงๆ" มาจนถึงวันนี้"
พลเอก สนธิ ยังทิ้งท้ายในหนังสือเล่มนี้ ว่าการทดสอบทางด้านร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะทางด้านจิตใจถือเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์มากผมถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสูงสุดบทหนึ่งในชีวิตถึงแม้ว่าบางครั้งอาจไม่มีเหตุผลแต่เราก็ต้องปฏิบัติ ดังคำพังเพยของทหารที่ว่า "จงนิ่งเหมือนอูฐไม่พูดเหมือนปลา"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง