ไม่พบผลการค้นหา
นักการทูตและเจ้าหน้าที่ทางการทูตอเมริกัน 2 นายในเมืองกว่างโจวของจีน ถูกเรียกตัวกลับประเทศ หลังป่วยไม่ทราบสาเหตุ แต่มีอาการคล้ายกับผู้ล้มป่วยจากการโจมตีด้วยคลื่นเสียงเหมือนที่เกิดขึ้นในคิวบาเมื่อปี 2559

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน 2 นายที่ทำงานอยู่ในสถานกงสุลสหรัฐฯ ในกว่างโจว ทางตอนใต้ของจีน พร้อมด้วยครอบครัว ต้องเดินทางกลับสหรัฐฯ หลังจากทางทีมแพทย์สหรัฐฯ ตรวจสอบพบว่าทั้งสองรายมีอาการบอบช้ำทางสมองแต่ไม่สาหัส โดยคาดว่าจะเกิดจากการได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียงและแรงดัน ซึ่งเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2560 ถึงเดือนเมษายน 2561

นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (5 มิ.ย.) ว่า เขาได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค. หลังจากที่เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกว่างโจวจำนวนหนึ่งมีอาการป่วยทางระบบประสาทและสมอง คล้ายคลึงกับผู้ป่วยที่เคยพบในเหตุการณ์ที่มีการโจมตีด้วยคลื่นเสียง หรือ โซนิกแอ็ทแท็ก ซึ่งเคยเกิดขึ้นที่คิวบาเมื่อปี 2559

ในครั้งนั้น เจ้าหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในคิวบาจำนวน 24 คน มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ หูอื้อ สูญเสียการได้ยิน และสูญเสียการรับรู้ชั่วคราว หลังจากที่ได้ยินคลื่นเสียงชนิดหนึ่ง ส่งผลให้ทางสหรัฐฯ ขับไล่นักการทูตคิวบาออกจากประเทศ 15 คนเพื่อเป็นการตอบโต้เหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าอาการป่วยของเจ้าหน้าที่อเมริกันในกว่างโจวครั้งนี้เกิดจากสาเหตุใด แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดจากสารพิษ การใช้เครื่องมือสื่อสารที่มีการปล่อยคลื่นเสียงในระดับที่เป็นอันตราย หรือแม้แต่ปรากฎการณ์อุปาทานหมู่

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (7 มิ.ย.) โดยระบุว่าทางจีนยังไม่ได้รับข้อมูลจากทางสหรัฐฯ แต่ถ้าทางสหรัฐฯ ติดต่อมายังทางรัฐบาลจีนก็พร้อมจะให้ความร่วมมือและช่วยเหลือในการสอบสวนเรื่องดังกล่าว

หวังอี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า 'ทางจีนหวังว่ากรณีนี้จะเป็นอาการเจ็บป่วยส่วนตัว และหวังว่าจะไม่มีการขยายความต่อและก่อให้เกิดความสับสน หรือแม้กระทั่งโยงเหตุการณ์ทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง' 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ประกาศเตือนเจ้าหน้าที่ทางการทูตเมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งแนะนำว่า ถ้ามีอาการบ่งชี้ใดๆ หรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพ ให้รีบปรึกษาแพทย์ประจำกงสุลสหรัฐฯ ทันที

ที่มา The guardian / SCMP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: