พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความคืบหน้าในการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น และความพร้อมของกระทรวงมหาดไทยในการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น ว่า สำหรับความพร้อมของกระทรวงมหาดไทยในการเลือกตั้งท้องถิ่นเราได้ประสานงานกับสำนักงานกฤษฎีกาในการแก้ไขกฎหมายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทางกกต.ได้มีข้อสังเกตในการขอแก้ไขมากว่า 100 ประเด็น ซึ่งทางคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังเร่งร่างกฎหมาย แบบว่าประชุมสัปดาห์ละสองครั้ง เพื่อพยายามเร่งในส่วนนี้ เพื่อให้กฎหมายทั้ง 6 ฉบับ แก้ไขเรียบร้อยโดยเร็ว ซึ่งทั้ง 6 ฉบับ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งสิ้นทั้งในส่วนของกทม. พัทยา อบจ. เทศบาล โดยหากกฎหมายพร้อมฝ่ายนโยบายก็จะได้หารือกัน เพราะต้องหารือร่วมกันระหว่างคสช. รัฐบาล กกต. และส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ
เมื่อถามว่า สำหรับห้วงเวลาที่เหมาะสมที่จะดำเนินการเลือกตั้งท้องถิ่นจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเลือกตั้งระดับชาติ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “คิดว่าหากกฎหมายเสร็จเร็ว มีช่องให้เลือกตั้งท้องถิ่น ก็น่าจะทำได้ เพราะไทม์ไลน์ของเลือกตั้งใหญ่นั้นมีแน่นอนอยู่แล้ว หากกฎหมายเสร็จเร็วแล้วมีช่องว่างก็สามารถดำเนินการได้เลย เพราะใน 45 วันก็พร้อมทำได้เลย อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นน่าจะเป็นก่อนสิ้นปี เพราะโรดแมปกำหนดว่า การเลือกตั้งใหญ่จะต้องมีขึ้นในต้นปีหน้าแต่ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายว่าจะว่าจะมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ผมคาดว่านายกฯน่าจะให้รายละเอียดได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องระดับนโยบาย
ส่วนที่มีการเกรงว่า หากมีการเลือกตั้งท้องถิ่นและการเลือกตั้งใหญ่ในระยะเวลาที่ใกล้กันแล้วจะเกิดความวุ่นวาย นั่นก็เป็นแนวความคิด ดังนั้นจะต้องมีระยะที่พอดี แต่ก่อนอื่นต้องดูความพร้อมของกฎหมาย ถ้าเสร็จเร็วและมีช่วงว่างมาก แล้วห่างกันซักหน่อยหนึ่งก็น่าจะดี ไม่วุ่นวาย ประชาชนจะได้ไม่สับสน ทั้งนี้โดยส่วนตัวคิดว่า มีความพร้อม และหากเลือกได้บางส่วนอย่างที่ว่าไว้ ถ้าทำได้ก็ทำ”
เมื่อถามว่า หากเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนเลือกตั้งใหญ่ อาจถูกวิจารณ์ว่ามีความเกี่ยวโยงกับการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า มองได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะทางการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ทั้งสองแบบ บ้างก็ว่าเมื่อเลือกตั้งใหญ่แล้วจะเข้ามาคุมการเลือกตั้งท้องถิ่น ก็พูดไปได้ทั้ง 2 แนวคิด อยู่ที่ประชาชน
เมื่อถามถึงกรณีนักการเมืองท้องถิ่นที่ถูกคำสั่งมาตรา 44 แล้วกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ จะสามารถกลับมาลงรับเลือกตั้งท้องถิ่นได้หรือไม่พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า บางส่วนถูกตรวจสิบด้วยกฎหมายของกระทรวง แต่บางส่วนถูกตรวจสอบด้วยมาตรา 44 ดังนั้น หากทางปลัดกระทรวงตรวจสอบเสร็จแล้วก็จะรายงานไปที่ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.)
พล.อ.อนุพงษ์ เมิน คนวิพากษ์ปมปรับพลเรือนนั่งตำแหน่งมท.1
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปัดตอบกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และชี้แจงว่า คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจนคือนายกฯ คนเดียว ไม่มีใครตอบได้ เพราะอำนาจอยู่ที่นายกฯ ซึ่งนายกฯ ก็ได้ตอบชัดเจนไปแล้วเมื่อวาน (4 มิถุนายน)
เมื่อถามถึงกระแสที่จะให้พลเรือนมานั่งในตำแหน่งและมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการทำงานใกล้ชิดประชาชน เราพยายามอยู่แล้ว เพราะคสช. ไม่มีส.ส. ก็ต้องใช้เครื่องมือที่มี หรือกลไกที่เรียกว่าประชารัฐเป็นตัวไปเชื่อมกับประชาชน เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับประชาชน และตอนนี้ทุกกระทรวงก็ทำงานร่วมกัน เช่น โครงการไทยนิยมฯ มีทีมทำงานลงไปทุกกระทรวง ทุกท้องที่ ทำให้ใกล้ชิดประชาชนได้
เมื่อถามถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์ว่ารัฐมนตรีที่มาจากพลเรือนจะใกล้ชิดกับประชาชนได้มากกว่ารัฐมนตรีที่มาจากทหาร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ก็ต้องแตกต่างเป็นธรรมดา ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร และผมก็คิดว่าผมลงพื้นที่มาก ต้องทำงานทั้งสองทาง เพราะงานหลักอยู่ที่นโยบาย แต่ต้องไม่ทิ้งพื้นที่ ผมเองก็ลงพื้นที่ไม่น้อย ไปกับนายกฯก็ไป ดังนั้นจะวิพากษ์อย่างไรก็เชิญ แต่ผมอยู่กับประชาชนแน่นอน ผมไม่มีพรรค ไม่มีผลประโยชน์”
พร้อมกันนี้หากจะมีการปรับครม. ควรมีการเพิ่มสัดส่วนพลเรือนเข้ามาหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนบอกแล้วว่า นั่นคืออำนาจของนายกฯ อยู่ที่นายกฯ เพราะนายกฯเป็นคนที่ดูคนที่ทำงานได้ ตอบสนองเรื่องงานได้เป็นหลัก จะเป็นใครอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งนายกก็ไม่ได้มาเล่าให้ตนฟังว่าจะปรับใคร หรือไม่ อย่างไร เป็นสิทธิของนายกฯและเราก็ควรเคารพสิทธินั้น ไม่ควรไปละลาบละล้วงถาม