โดยจากผลสำรวจในปี 2566 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมาเที่ยวไทยมากถึง 1.2 ล้านคน ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าสถิติสูงสุดในอดีตช่วงปี 2562 ก่อนโควิด-19 ที่ 2 ล้านคน โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมาเที่ยวไทย 2 ล้านคนขึ้นไป ส่วนทางด้านงานวิจัยจาก Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากอินเดียจะเพิ่มสูงขึ้นจนทะลุยอดเดิมที่ 2.1 ล้านคน
ขณะที่ปัจจัยหนุนส่งได้แก่ 1.จำนวนประชากรอินเดียที่เพิ่มมากขึ้นจำนวนกว่า 43 ล้านคน แซงหน้าประเทศจีนและกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก 2.อินเดียมีประชากรสัดส่วนอายุเกิน 30 ปีเกินครึ่ง จากทั้งหมด 1,455 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นช่วงวัยแรงงาน 3.การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียน่าสนใจ มีตัวเลขการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 6% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วทั้งโลก โดยการคาดการณ์ของ IMF ว่ากันว่าในปี 2570 จะขยับสู่อันดับ 3 ของโลกอีกด้วย
อานิสงส์นี้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางกันมากขึ้นกว่าเดิม โดยเมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่จะเกิดโควิด-19 พบว่า ชาวอินเดียเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 9.3 หรือประมาณ 27 ล้านคน ในปี 2562 คำถามที่สำคัญก็คือ “ปี2567นี้ สถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว” เราจะทำอย่างไรเพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอินเดียที่เป็นผู้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยเป็นอันดับที่ 3 ให้อยู่หมัด
เน้นราคาต้อง เน้นสีส้มกับขาวและเขียว
อาจารย์นิติกา แนะนำเริ่มต้นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวเพื่อดึงดูดและมัดใจนักท่องเที่ยวอินเดีย ประกอบด้วย 2 สิ่งที่ต้องเน้น ได้แก่ ป้ายราคา และ การตกแต่งร้านด้วยสีสันเหมือนธงชาติประเทศอินเดีย
ป้ายราคา : เกิดจากคนอินเดียเรื่องเงินคือสำคัญ ดังนั้นตัวเลขมูลค่าสินค้าและบริการที่แสดงให้เห็นตัวเลขอย่างชัดเจน เนื่องจากคนอินเดียเป็นคนที่มองเรื่องความคุ้มค่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อและใช้บริการ โดยสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายของชาวอินเดีย เพราะเมืองไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและคุ้มค่าในเรื่องของราคาที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านของประเทศไทย เช่น โรงแรม 5 ดาว ราคาไม่แพงมากเท่าประเทศชั้นนำ แต่ Service ดีเทียบเท่าประเทศสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น
การตกแต่งร้านสีธงชาติ : เกิดจากพื้นฐานคนอินเดียที่ส่งต่อเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ เราจึงมักเห็นคนอินเดียชอบสีจัดจ้าน เช่น สีส้ม เหลือ สีเขียว สีแดง หรือสีธงชาติของประเทศอินเดีย และซึ่งการออกแบบร้านค้าที่มีสีเป็นธงชาติของประเทศอินเดียหรือแสดงความเป็นอินเดียเขาก็จะสนใจมากขึ้น นอกจากนี้การแต่งกายแม้ว่าคนอินเดียจะไม่อินเท่าไหร่ เช่น แตกต่างด้วยชุดประจำชาติ แต่สีสันทั้งหมดที่คล้ายธงชาติก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น
“เรื่องของการบริการ ไม่ว่าคุณจะไปสัมผัสอุตสาหกรรมการบริการที่ไหนในไทย จะพบว่าบุคลากรทุกคนได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจการบริการของอินเดียกำลังจับตามองประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ใน DPU คนอินเดียก็ต้องการนำนักศึกษามาเรียนรู้เกี่ยวกับการบริการ การต้อนรับเพราะที่นี่ผู้คนสุภาพมาก เป็นมืออาชีพมาก ให้บริการที่ดีที่สุด” อาจารย์ชาวอินเดียกล่าว
อาหารไทยและทะเล ความปลอดภัยดึงให้ใจกระชับ
รองคณบดีฝ่ายต่างประเทศ เสริมอีกว่า ‘อาหาร’ เป็นสิ่งที่ดึงดูดรองลงมา เพราะในอินเดียเรามีคนมังสวิรัติจำนวนมากที่ไม่เคยกินอาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์ชนิดใดเลย ดังนั้นสำหรับคนอินเดียสิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย นอกจากนี้เมื่อพูดถึงชาวอินเดียที่รักการเดินทาง เรายังชอบลองอาหารใหม่ๆ ประเภทต่างๆ ซึ่งในบรรดาอาหารประเทศไทยที่โดดเด่นเรื่องของเครื่องแกงมากมาย แน่นอนสำหรับชาวต่างชาติจึงคือ ต้มยำกุ้ง กะเพราไก่ ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวาน นอกจากนี้อาหารของทางภาคใต้ เช่น มัสมั่นไก่ ที่มีรสชาติคล้ายกันกับของอินเดีย ก็จะดึงดูดคนอินเดียได้
“ส่วนอันดับสุดท้ายเรื่องของความปลอดภัย เมื่อเทียบกับความปลอดภัยในอินเดียแล้ว เมืองไทยจะมีความปลอดภัยกว่ามาก เพราะว่าแม้แต่ผู้หญิงก็สามารถมาเที่ยวคนเดียวที่นี่ได้ และคนรุ่นใหม่ในอินเดียจำนวนมากตอนนี้ก็อยากไปเที่ยวแบบแค่ผ่านไปเท่านั้น หรือแม้ว่าพวกเขาจะมาเป็นครอบครัวก็ตาม แต่สำหรับประเทศไทยคนอินเดียมองว่าที่นี้คือความปลอดภัย จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งผู้ประกอบการสินค้าหรือบริการ หากสามารถที่จะสร้างบรรยากาศเหล่านี้ได้ก็จะดึงดูดคนอินเดียได้ดียิ่งขึ้น”
อาจารย์ นิติกา แนะนำอีกว่า เรื่องของภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะประเทศอินเดียมีภาษา Official เท่าที่จัดอันดับได้มี 22 ภาษา และในแต่ละรัฐก็จะมีภาษาท้องถิ่นของเขาอีกต่างหากมากกว่า 1,000 ภาษา ดังนั้นภาษาที่นิยมใช้ในการสื่อสารของประเทศอินเดียจึงเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะมีภาษาฮินดีบ้างสลับประปราย ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะดึงดูดคนอินเดียจึงควรที่จะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ส่วนภาษาฮินดีอาจจะนำมาใช้เสริมเฉพาะคำ เช่นคำว่า “นมัสเต”
“เราใช้คำว่า นมัสเต หรือสวัสดีภาษาอินเดียเมื่อกล่าวต้อนรับ และเมื่อจะกล่าวลาหรือขอบคุณคนอินเดียที่ใช้บริการก็ใช้คำว่า Goodbye เป็นต้น เพราะเราไม่รู้ว่าเขามาจากภาคจากประเทศอินเดีย เราจึงไม่อาจจะรู้ได้ว่าเขาจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษา Official ของเขา”
อย่างไรก็ตาม “อาจารย์ นิติกา” กล่าวแซมยิ้มว่า ลักษณะของชาวอินเดียเมื่อไปใช้บริการหรือซื้อสินค้า ชอบที่จะต่อราคา ก็อยากให้เจ้าของร้านอาจจะต้องอดทนนิดหนึ่ง และอาจจะต้องสุภาพกับคนอินเดีย เขาอาจจะต่อราคาจริงแต่ที่เขาต่อราคาเพราะเห็นในคุณค่าของเงิน คือ Value of money ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ต่างจากคนไทย และอีกอย่างที่คนไทยกับคนอินเดียเหมือนกันคือ หากว่าเราชมคนอินเดียว่า “สวย” อาทิ คุณตาสวยจัง, ชุดสีสวยมาก, อยากใส่บ้างชุดอินเดียบ้างจัง ฯลฯ คล้ายๆ รูปหล่อหรือสุดสวย ที่แม่ค้าและพ่อค้าชอบเรียกลูกค้าอย่างเราๆ ให้แวะพูดคุยและซื้อนั้นเอง
ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เมื่อสนิทเชิญมาบ้าน คือ ครอบครัวและคอนเน็กชันที่สำคัญ
นอกจากการ 5 แพลตฟอร์มช้อปปิ้ง E-Commerce ที่คนอินเดียชื่นชอบ อย่าง 1.Amazon 2.Flip Kart 3.NYKAA 4.MEESHO 5.MYNTRA ฯลฯ การที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถตีตลาดคนอินเดียได้ที่ประเทศต้นทาง หลังอานิสงส์การเติบโตของตลาดประเทศอินเดียในปัจจัยต่างๆ ที่สร้างให้ตลาดอินเดียเติบโตจนเนื้อหอม คือ การหา “พาร์ทเนอร์” เป็นชาวอินเดีย
“การสร้างความสัมพันธ์กับคนอินเดียที่สำคัญ 1.เรื่องของความใส่ใจ ซื่อสัตย์มันเป็นสิ่งที่คนเราทั่วไปควรมีอยู่แล้วแต่คนอินเดียค่อนข้างที่จะเป็นคนตรงไปตรงมา เวลาที่เรามีอะไรในใจเราพูดกับเขาตรงๆ เวลาที่เราเจรจาในการทำความร่วมมือกันอะไร เราคิดอะไรเราควรพูดไปเลย ตรงนี้อาจจะแตกต่างกับคนไทยที่ชอบพูดอ้อมๆ นิดหนึ่ง”
“2.คนอินเดียเรามีนิสัยไม่ใช่แค่รู้จักกันในเรื่องของการทำธุรกิจอย่างเดียว แต่เราชอบที่จะรู้จักกันแบบลึกซึ้งด้วย อาจจะรู้จักครอบครัว รู้จักที่บ้านเขา เพราะเราอยู่ด้วยกันเราต้องหวังดีซึ่งกันและกัน คนอินเดียเขาชอบแบบนี้มากๆ คนอินเดียส่วนมากชอบทำอาหารเองทำที่บ้าน และการที่เราทำอาหารและเราเชิญเขามารับประทานกับเราเป็นการแบ่งปันความสุข”
“ดังนั้นการเชิญ พาร์ทเนอร์ ไปกินอาหารที่บ้านในตอนที่เราไปถึงจุดที่เป็นเพื่อนกันแล้วสำคัญมาก เราจะได้ร่วมงานกันแล้วเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันและทำให้ธุรกิจยืดยาว เป็นการแสดงความจริงใจที่มีค่าเท่ากันระหว่างการพาเพื่อนไปรับประทานข้าวข้างนอก และพาไปรับประทานข้าวที่บ้าน แต่สำหรับเขามันมีค่าเท่ากันจริงๆ สำหรับคนอินเดียถ้าอยากให้มันลึกซึ้งกว่านั้น”
“ทั้งนี้พฤติกรรมของชาวอินเดียที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยส่วนใหญ่ใน 1 ทริป ใช้ระยะเวลาอยู่ที่ 7-8 วัน และมีค่าใช้จ่ายต่อวันประมาณ 5,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นที่พักและโรงแรม อันดับ1 รองลงมาคือการ ช้อปปิ้ง อันดับที่2 ตามมาด้วยค่าอาหารและเครื่องดื่ม อันดับที่3 และสุดท้ายอันดับที่ 4 คือ ผับ บาร์ ซึ่งถือว่าสูงกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ โดยสอดคล้องกับข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เคยสำรวจว่านักท่องเที่ยวอินเดียรุ่นใหม่นิยมเที่ยว พัทยา เพราะว่าอยากจะเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบกลางคืน” อาจารย์นิติกา กล่าวทิ้งท้าย