วันที่ 9 เม.ย. แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคฯ ,วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคฯ และ ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์พรรคภาคเหนือ ลงพื้นที่ช่วย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดปทุมธานี ของพรรค ทั้ง 7 เขต ปราศรัย ที่บริเวณลานสามแยกสวนเกษตร คลอง 3
วิรัช กล่าวปราศรัยว่า ตนเป็น ส.ส.นครราชสีมา 10 สมัย ซึ่งเก้าอี้ ส.ส.โคราชในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนจะเอา 12 ที่นั่ง จาก 16 ส่วนบัตรประชารัฐถ้าได้รับการเลือกตั้ง มิ.ย.นี้บัตรประชารัฐจะได้ 700 บาทแน่นอนต่อไปอีก 4 ปี ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปทุมฯ ไม่มีผู้แทนจากพลังประชารัฐเลย แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ก็เดินทางมาตรวจสถานการณ์ป้องกันน้ำท่วมอยู่ตลอด พร้อมยืนยันว่าถ้ามี ลุงป้อม ปทุมจะไม่แล้งและน้ำก็จะไม่ท่วมแน่
ขณะที่ ชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า เห็นบรรยากาศแล้วเชื่อว่าเราจะสามารถปักธงในพื้นที่ปทุมได้แน่นอน พร้อมยืนยันว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเป็นคนดีมีคุณภาพที่สุด และย้ำว่าวันนี้ประเทศชาติมั่นคงภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำมา 4 ปี โดยมี พล.อ.ประวิตร เป็นเสาหลัก และขอให้ชาวปทุมเลือก พปชร. ทั้ง 7 เขต เราเสนอนโยบายเอาใจพี่น้องประชาชน ถูกใจคนไม่ถูกต้องเราก็ไม่ทำ พร้อมยอมรับว่า เสียใจกับนโยบายของบางพรรค เช่น ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งตนเสียใจและรับไม่ได้ ซึ่งการเมืองมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร และมีบางพรรคไม่คำนึงถึงความมั่นคงของประเทศชาติ ตอนนี้เรามีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน รู้หรือไม่ เราใช้ทหารกี่หมื่นกี่แสนคน แล้ววันนี้ประเทศเพื่อนบ้านเขารบกันดูข่าวบ้างหรือไม่ ขณะที่ในยุโรปก็มีสงคราม
ทั้งนี้เราเป็นประเทศพี่ใหญ่ในอาเซียน ซึ่งอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง เราจึงต้องมีกองทัพที่เข้มแข็งและต้องมีทหาร เพื่อเข้าไปทำงานให้ประเทศชาติและประชาชน พร้อมยกตัวอย่างว่า สถานการณ์น้ำท่วมปี 54 ตอนสมัยนั้นแก้ปัญหาได้หรือไม่ นายกฯ บอกว่าเอาอยู่ๆ แต่คนที่มาช่วยคือทหาร อย่ามาสร้างความเกลียดชังทหาร อย่ามาพูดให้คนเกลียดกัน อย่ามาสร้างค่านิยมตามใจวัยรุ่น
ชัยวุฒิ กล่าวอีกว่า พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคประชารัฐ ซึ่งลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อเบอร์ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกฯด้วยตัวเองชัดเจน แต่พรรคเพื่อไทย แคนดิเดตนายกฯไม่ลงสมัคร ส.ส. แล้วไม่เข้าสภา ผมก็ตกใจว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯซึ่งเป็นพรรคเดียว แต่แคนดิเดตนายก คือหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คือ แพทองธาร ชินวัตร แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นแคนดิเดต ซึ่งเห็นว่าอาจจะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าพรรคการเมือง
ส่วนกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน ออกข่าวว่าโอนหุ้นบริษัทให้คนอื่นหมดแล้ว ยกเลิกตำแหน่งในบริษัท และประกาศว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วนั้น และเคยบอกว่ามาทำงานการเมืองครั้งนี้จะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นนายกรัฐมนตรี แสดงว่าเขาคุยกันแล้วว่าจะเป็นนายกของพรรคเพื่อไทย ฉะนั้นผมต้องดูว่า แพทองธารโอนหุ้นเหมือนเศรษฐาหรือเปล่า จากน้้น ชัยวุฒิ ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อมูลว่าแพทองธารยังไม่มีการโอนหุ้นในบริษัท เอสซี แอสเสท 1,200 ล้านหุ้น หรือ 28.54% ซึ่งฟันธงว่า ตนขอวิเคราะห์ว่าเลือกพรรคเพื่อไทย ได้เศรษฐาเป็นนายกแน่นอน
พร้อมระบุว่า ขอเตือนว่าที่นายกฯในอนาคต ว่าการเป็นนายกนั้นต้องทำตามคำสั่งนายใหญ่ ซึ่งตนเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะ เศรษฐาเป็นนักธุรกิจเชื่อมั่นในตัวเองสูง ซึ่งไม่ใช่เป็นคนในครอบครัว ก่อนที่ ชัยวุฒิ จะยกตัวอย่างเหตุการณ์ปี 50 สมัยพรรคพลังประชาชน พี่มี สมัคร สุนทรทรเวช เป็นนายกฯ แต่ขัดใจนายใหญ่ ก็อยู่ไม่ได้ จึงได้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายก ก็เพราะเป็นน้องเขยนายใหญ่ไงครับ พร้อมเตือน เศรษฐา มี 2 ทางเลือก 1.ต้องทำตามนายใหญ่ ตนไม่อยากพูดว่าเป็นอะไร แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้ไปเป็นน้องเขยคนในครอบครัวนายใหญ่
ในช่วงท้าย ชัยวุฒิ ระบุว่า พปชร.ทำตามกระบวนการประชาธิปไตย ลุงป้อมไม่ใช่คนปฏิวัติ ไม่ได้สืบทอดอำนาจและไม่ใช่เผด็จการ ท่านพร้อมที่สุดแล้ว แต่ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และแก้ปัญหาให้ประชาชน ฉะนั้นเราเลือกพรรคที่พร้อมใช้ประชาชนไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็นนอมินีพรรคการเมือง
ด้านธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์พรรคภาคเหนือ ขึ้นเวทีปราศัยช่วย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดปทุมธานี ของพรรค ทั้ง 7 เขต ว่า ตนเห็นพี่น้องใส่เสื้อแดง ชาวเสื้อแดงปทุม พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายจากการบริหารบ้านเมืองมา 4 ปี ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ท่านยินดีที่จะให้พรรคการเมืองอื่นมาอยู่ร่วมกัน ที่ผ่านมาของรัฐบาล พล.อ.ประวิตร มีเจตนารมณ์แน่วแน่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นการยืนยันว่า ประชาชนที่มาเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีกีฬาสีเหมือนที่ผ่านมา และสนับสนุนนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง
“คนไทยต้องเลิกทะเลาะกัน เดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้ง ตนเชื่อว่าหลังจากเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร จะผลักดันนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อคนไทยเป็นหนึ่งเดียว และพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนนโยบาย จะรวมพลังคนไทย เรากล้าประกาศว่า พรรคพลังประชารัฐ จะรวมพลังของสององค์กรเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้ประชาชน มีความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งยังยืน นี่คือการรวมพลัง ถึงเวลาที่เจ้าของประเทศคือประชาชน รวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า องค์กรต่อไปที่จะเข้ามาดูแลประชาชน คือองค์กรพลังแห่งรัฐ รัฐจะต้องดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี เวลาหาเสียงทุกพรรคนโยบายดีหมด จะทำทุกอย่างให้กับประชาชน แต่พอจัดตั้งรัฐบาลลืมหมด คนแบบนี้ประชาชนจะเลือกหรือไม่ ประชาชนจะเป็นพลังกดดันให้รัฐเข้ามาดูแลประชาชนทั้ง 70 ล้านชีวิต จะต้องดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก
ส่วนประชาชนที่มาฟังการปราศรัยวันนี้ ใช้น้ำมันและใช้ไฟฟ้า ทุกวันนี้น้ำมันราคาแพง ค่าไฟแพง มีอย่างเดียวที่ถูกคือรายได้ พรรคพลังประชารัฐ เล็งเห็นความสำคัญของ โครงสร้างราคาน้ำมัน ต้องทำทันทีหลังแต่งตั้งรัฐบาล อีกทั้ง ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค เคยพูดว่า คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะต้องมีความพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์ประเทศ คนไทยต้องปรองดอง จึงต้องมีบุคคลที่ดูแลทั้งความมั่นคงเศรษฐกิจ เพราะพรรคพลังประชารัฐ มีอดีตรัฐมนตรีการคลังมากที่สุด และความมั่นคงที่ พล.อ.ประวิตร ทำมาตลอดชีวิต ดังนั้นผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ต้องเป็นขี้ข้าของประชาชน