อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในประเทศแล้ว 317,600 โดส เป็นวัคซีนล็อตแรกจากซิโนแวค 200,000 โดส และในส่วนแอสตร้าเซนเนก้า 117,600 แสนโดส ที่ได้มาก่อนกำหนดจากโรงงานการผลิตที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก โดยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ความพยายามในการเจรจาให้ได้วัคซีนมา ซึ่งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าล็อตนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 61 ล้านโดส ที่ได้ทำสัญญาจองซื้อ มีมาตรฐาน และผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดความครอบคลุมการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่ควบคุม
อนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อวัคซีนจากทั้ง 2 บริษัทผ่านตรวจรับรองคุณภาพและรับรองรุ่นการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สุด สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับผู้นำประเทศ จะมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นผู้ตัดสินใจ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด 19 จากบริษัทอื่นๆ หากมีเอกสารที่ถูกต้อง มีแหล่งที่มาและแหล่งผลิตที่ได้รับมาตรฐาน ก็สามารถนำมาขึ้นทะเบียนกับอย.ได้
“วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยไม่ได้ล่าช้าหรือมีอุปสรรคใดๆ วันนี้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 อยู่ในมือมากที่สุดในเอเชีย หากนับจำนวนประชากรหรืออัตราส่วนประชากรประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกนี้ และขอให้มั่นใจในวัคซีนและกระบวนการฉีดว่ามีความปลอดภัยในทุกขั้นตอน มีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีน ควบคุมให้เกิดความเป็นธรรม ทั่วถึง เป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์ และอยู่ในกระบวนการสาธารณสุขที่แข็งแกร่งของประเทศไทยทุกประการ” อนุทิน กล่าว
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และผู้เกี่ยวข้อง เยี่ยมชมการสาธิตการให้วัคซีนและประชาชน ณ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เขตบางขุนเทียน โดยการสาธิตการให้วัคซีนกรุงเทพมหานครได้เชิญผู้แทนโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ 6 เขตที่ให้บริการวัคซีน โควิด-19 ในระยะแรก รวมทั้งสิ้น 16 โรงพยาบาล ได้แก่ 1.เขตจอมทอง ประกอบด้วย โรงพยาบาลบางขุนเทียน 1 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล และโรงพยาบาลบางมด 2.เขตบางขุนเทียน ประกอบด้วย โรงพยาบาล พีเอ็มจี โรงพยาบาลนครธน และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน 3.เขตบางแค ประกอบด้วย โรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และโรงพยาบาลบุญญาเวช 4.เขตบางบอน ประกอบด้วย โรงพยาบาลบางปะกอก 8 และโรงพยาบาลสหวิทยาการมะลิ 5.เขตภาษีเจริญ ประกอบด้วย โรงพยาบาลบางไผ่ โรงพยาบาลมิตรประชา (เพชรเกษม 2) และโรงพยาบาลพญาไท 3 6.เขตหนองแขม ประกอบด้วย โรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนลหนองแขม และโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร อุทิศ ร่วมชมการสาธิต เพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และบุคลากรให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่กรุงเทพมหานครจะได้รับจากรัฐบาลในระยะแรก มีจำนวน 66,000 โดสเข็ม ซึ่งจะสามารถให้ประชาชนได้จำนวน 33,000 คน เนื่องจาก ต้องให้วัคซีนคนละ 2 โดสหรือ 2 เข็ม ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ระยะแรก ซึ่งมีวัคซีนจำนวนจำกัด ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 12,400 คน กำหนดให้วัคซีนในสัปดาห์แรก เพื่อเฝ้าสังเกตอาการหากมีอาการไม่พึงประสงค์จะสามารถให้การดูแลได้อย่างทันท่วงที
จากนั้นสัปดาห์ที่ 2 จะให้วัคซีนแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ด้านการพยาบาลพอสมควร ซึ่งหากเกิดอาการไม่พึงประสงค์จะสามารถดูแลตนเองได้ในระดับหนึ่ง จำนวน 1,600 คน กลุ่มต่อไป คือ กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคเสี่ยงคือ
1.โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง
2.โรคหัวใจและหลอดเลือด
3.โรคหลอดเลือดสมอง
4.โรคไตเรื้อรัง
5.โรคมะเร็งทุกชนิด ที่อยู่ระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด 6.โรคเบาหวาน
7.โรคอ้วน ที่มีอายุ 18-59 ปี จำนวน 47,000 คน และกลุ่มสุดท้าย คือ ประชาชนทั่วไปและแรงงาน (อายุ 18-59 ปี) จำนวน 5,000 คน
ทั้งนี้มีโรงพยาบาลที่จะร่วมให้บริการฉรดวัคซีน จำนวน 15 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 3 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 12 แห่ง
ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนทุกคนต้องวัดไข้ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกคน จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19ประกอบด้วย
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) จนถึงปัจจุบัน การฉีดวัคซีน COVID – 19 ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความหวังในการควบคุมการแพร่ระบาด ที่สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เพื่อป้องกันการเกิดอาการ ลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดอัตราตายได้ จากการศึกษาพบว่าเมื่อประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรง ถือเป็นแนวทางป้องกันที่ดีแนวทางหนึ่ง และขณะนี้ประเทศไทยได้รับการส่งมอบวัคซีนเพื่อดำเนินการฉีดให้แก่ประชาชนแล้ว และจะทยอยได้รับการส่งมอบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานคร ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีประชากรจำนวนมาก ประกอบกับมีพื้นที่เสี่ยงจำนวน 6 เขต การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับวัคซีน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การซักซ้อมความเข้าใจ รวมถึงการสาธิตการบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ณ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งเป็น 1 ใน 2 โรงพยาบาลที่ให้บริการฉีดวัคซีน COVID – 19 ระยะที่ 1 ในวันนี้ จึงสามารถใช้เป็นแนวทางใน การจัดบริการฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลแห่งอื่น ๆ ได้ต่อไป
นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กล่าวถึงความพร้อมของ รพ.ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ว่า บุคลากรของกรุงเทพมหานครมีประสบการณ์ในการฉีดวัคซีน แต่สิ่งที่ประชาชนต้องเตรียมคือ ต้องมีการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิฉีดวัคซีน และลงเวลานัดหมาย เลือกโรงพยาบาลที่สะดวก เพื่อประหยัดเวลาในการรอคอย อย่างไรก็ตามหากไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้า กรุงเทพมหานครได้เตรียมเจ้าหน้าที่ไว้คอยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนในระบบหมอพร้อม และทำการนัดหมายให้ ในการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองควรไปฉีด ณ โรงพยาบาลเดียวกัน และเมื่อถึงวันนัดหมายฉีดวัคซีน ให้เตรียมร่างกายให้พร้อม รับประทานอาหารและดื่มน้ำตามปกติ มาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลานัดหมาย หากมีไข้สามารถโทรมาเลื่อนนัดได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง