ไม่พบผลการค้นหา
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ต่างแลกหมัดกันไปมาระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์สายตรง เกี่ยวกับประเด็นไต้หวันเป็นระยะเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

รายงานระบุว่า ไบเดนกล่าวกับสีว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมรับ “การกระทำฝ่ายเดียว” ที่พยายามจะเปลี่ยนสถานะของไต้หวันอย่างเด็ดขาด ในขณะที่สีบอกให้ไบเดนยอมรับนโยบายจีนเดียว พร้อมเตือนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า “อย่ามาเล่นกับไฟ” 

ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองชาติมีเพิ่มมากขึ้น เมื่อข่าวลือว่า แนนซี เพโลซี ประธานรัฐสภาสหรัฐฯ มีแผนเดินทางเยือนไต้หวัน อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เพโลซีไม่ได้ประกาศแผนในการเยือนที่ใดเลย แต่ทางการจีนยังคงออกมาเตือนว่า สหรัฐฯ จะต้อง “รับผลที่ตามมา” หากเพโลซียืนยันจะเยือนไต้หวัน 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไบเดนได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “กองทัพสหรัฐฯ มองว่าการเยือนไต้หวันของเพโลซีไม่ใช่ความคิดที่ดี” แต่ทำเนียบขาวกลับเรียกการโต้ตอบของจีนในครั้งนั้นว่า “เป็นเรื่องไร้ประโยชน์และไม่สำคัญ” 

เพโลซีถือเป็นนักการเมืองระดับสูงของสหรัฐฯ รองลงมาสองลำดับจากประธานาธิบดี ที่อาจจะเดินทางเยือนไต้หวัน นับตั้งแต่ปี 2540 

เจ้าหน้าที่อาวุโสของไบเดนกล่าวว่า ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (28 ก.ค.) ไบเดนและสีได้พยายามหารือกัน เพื่อจัดการประชุมแบบพบหน้ากันอีกด้วย โดยมองว่าการประชุมแบบทวิภาคีนี้มีความ “ตรงไปตรงมา” และ “ซื่อตรง”

เมื่อปี 2558 ไบเดน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับการมาเยือนสหรัฐฯ ของสี แต่หลังจากไบเดนได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ทั้งสองเองไม่เคยพบกันแบบตัวต่อตัวอีกเลย

ทั้งนี้ จีนมองว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่แตกแยก และต้องกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของจีนเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบ่งบอกว่าจีนเองไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ไต้หวันมาเป็นของตน

ภายใต้นโยบายจีนเดียว สหรัฐฯ จะไม่รองรับสถานะทางการทูตใดๆ กับไต้หวัน แต่สหรัฐฯ ยังคงขายอาวุธให้กับเกาะไต้หวันที่เป็นดินแดนซึ่งมีอำนาจปกครองตนเอง เพื่อให้พวกเขาสามารถป้องกันตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากความก้าวร้าวของจีนแผ่นดินใหญ่

ทำเนียบขาวระบุว่า นอกจากเรื่องไต้หวัน ผู้นำทั้งสองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาอื่นด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงเชิงสาธารณสุข

เจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯ กล่าวว่า ฝ่ายบริหารของไบเดนได้มีการพิจารณาที่จะนำมาตรการกำแพงภาษีในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาสภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างพูดคุยกับประธานาธิบดีจีนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาแต่อย่างใด

นักวิเคราะห์เชื่อว่า ทั้งโจและสีพยายามจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันอย่างเปิดเผย แต่ทั้งคู่ก็ยังคงปะทะคารมกันอยู่ตลอด อย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ในครั้งนี้ 

ทำเนียบขาวกล่าวโดยสรุปว่า พวกเราจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม "จัดการความแตกต่างอย่างมีความรับผิดชอบ" และทำงานร่วมกันในจุดที่ "ผลประโยชน์สอดคล้อง" ซึ่งทางการจีนก็กล่าวว่า จีนและสหรัฐฯ มีผลประโยชน์สอดคล้องกันหลายประการ แต่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สหรัฐฯ กำลังบั่นทอนความสัมพันธ์ของทั้งสอง โดยการมองว่าจีนเป็น “ศัตรูอันดับหนึ่ง” และเป็น “ความท้าทายที่รุนแรงที่สุดในระยะยาว”  


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-asia-62340814