วันที่ 23 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เข้าให้ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ถึงกรณีการออกประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ของกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ถึงการปรับหลักเกณฑ์ขยับให้ ‘ผู้รับเหมาชั้น 1’ ขึ้นไปเป็น ‘ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ’ ซึ่งมีเพียง 76 ราย อยู่ในสภาพผูกขาดโครงการก่อสร้างทางมูลค่า 500 ล้านบาท ขึ้นไป
วิโรจน์ กล่าวว่า ในการประมูลโครงการก่อสร้างทางมูลค่า 500 ล้านบาทสำหรับผู้รับเหมาชั้นพิเศษนั้น มีราคาประมูลห่างจากราคากลางอยู่ประมาณ 0.24-0.36% จนแทบมองได้ว่าไม่มีการประมูลราคาเลย ขณะที่ผู้รับเหมาชั้น 1 มีการประมูลโครงการก่อสร้างทางมูลค่า 450-500 ล้านบาท มีการประมูลราคาห่างจากราคากลางถึง 19.46-22.57% ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันสูง
ขณะที่การปรับหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง ตามประกาศเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ว่า ถึงเงื่อนไขในการที่จะขยับชั้นผู้รับเหมาจากชั้น 1 ไปสู่ชั้นพิเศษนั้น พบว่า มีเงื่อนไขที่เป็นไปได้ยาก โดยผู้รับเหมาต้องมีผลงาน 1 โครงการ ในระยะเวลา 6 ปี ซึ่งต้องเป็นโครงการที่มีมูลค่า 450 ล้านบาทขึ้นไป จึงถือว่าเป็นการยากมากที่ผู้รับเหมาชั้น 1 จะขยับชั้นขึ้นไปได้
วิโรจน์ ยกตัวอย่าง หลักเกณฑ์ปกติของการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมา เช่น หากผู้รับเหมาชั้น 3 ที่ประมูลโครงการในราคา 150 ล้านบาท หากจะขยับขึ้นมาเป็นผู้รับเหมาชั้น 2 ต้องมีประสบการณ์รับงานโครงการ 75 ล้านบาท (ครึ่งหนึ่งของราคาประมูลปกติ) หากอิงตามหลักเกณฑ์นี้ ผู้รับเหมาชั้น 1 ที่จะขยับขึ้นไปเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษควรจะกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีประสบการณ์ในการประมูลโครงการราคาเพียง 250 ล้านบาท (ครึ่งหนึ่งของ 500 ล้านบาท) เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสูงถึง 450 ล้านบาท
ส่วนข้ออ้างที่ระบุว่า การจะขึ้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษต้องมีการการันตีมาตรฐานทางวิศวกรรมนั้น วิโรจน์ มองว่า ไม่จำเป็น เนื่องจากราคาประมูลโครงการ ยิ่งแพงมากเท่าไหร่ หมายถึงระยะทาง หรือจำนวนเลนที่มากกว่าโครงการที่มาจากราคาประมูลต่ำลงมา ซึ่งการก่อสร้างทางในระยะยาว หรือสั้น ก็ย่อมมีมาตรฐานในการก่อสร้างอยู่แล้ว
แม้ว่าจะมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจากกรมบัญชีกลางด้วยการออกประกาศเพิ่ม ’ผู้รับเหมาชั้น 1ก’ แต่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการฮั้วประมูลของผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เพราะเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินประมูลโครงการไปที่ 600 ล้านบาท เพื่อทำให้การเลื่อนชั้นของผู้รับเหมาชั้น 1 ขึ้นไปสู่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษต้องมีค่าประสบการณ์เหลือเพียง 300 ล้านบาท
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า หากมีการปรับเงื่อนไขการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมาชั้น 1 ไปสู่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษด้วยหลักเกณฑ์ตามปกติ คือ ผู้รับเหมาจะต้องมีประสบการณ์โครงการมูลค่ากึ่งหนึ่งจากราคาประมูลปกติ จะทำให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ถึง 4,700-6,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ วิโรจน์ ยังได้ย้ำข้อเสนออีกว่า หากมีการปรับแก้ตัวเลขมูลค่าโครงการประสบการณ์จาก 450 ล้านบาท เป็น 250 ล้านบาท จะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาการฮั้วประมูลเพื่อเอื้อให้แก่ผู้รับเหมารายใหญ่ได้
วิโรจน์ กล่าวถึง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในที่ประชุม สส. พรรคเพื่อไทยถึงกรณีที่มีตำรวจมาขอตำแหน่งผู้กำกับจาก สส. ว่า นายกฯ ได้ชี้แจงหรือไม่ว่า วันก่อนกินอะไรไปถึงพูดอย่างนั้น ผู้กำกับจะหมายความเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หรือผู้กำกับซีรีส์ไม่ได้
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ เศรษฐา ระบุว่า มีคนขอมาเยอะเหลือเกิน สรุปแล้วคนที่มาขอตำแหน่งนั้นเป็นคน หรือสัมภเวสี และเมื่อเปิดประชุมสภาฯ สมัยหน้าจะต้องมีการตั้งกระทู้ถาม เพราะนายกฯ พูดไว้ว่า มีคนขอมาเยอะเหลือเกิน มีผิดหวังมากกว่าสมหวัง สมหวังก็มีจำนวนไม่น้อย แสดงว่ามีการฝากกันจริง
วิโรจน์ กล่าวต่อว่า ขอนายกฯ อย่าบิดพลิ้ว หลุดปากพูดแล้วอีกวันก็มาแก้ตัว วันก่อนหน้าเป็นการรับสารภาพของคนที่เป็นนายกฯ ที่เคยพูดก่อนหาเสียงว่า จะขจัดสังคมเส้นสาย แต่หลังหาเสียงกลับลืม ในสิ่งที่เคยพูดไว้เสียงเข้ม สรุปแล้ว เศรษฐา ที่พูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย กับ เศรษฐา อีกวันหนึ่งคือ เศรษฐา คนเดียวกันหรือไม่
ส่วนการดำเนินการของฝ่ายค้านในช่วงเวลาที่ไม่มีการประชุมสภาฯ วิโรจน์ กล่าวว่า ต้องใช้กลไกของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ในการจัดการ โดย นายกฯต้องมาชี้แจง
วิโรจน์ ยอมรับว่า ตนอยากเอายามาทาสีข้างให้นายกฯ เพราะค่อนข้างจะอักเสบพอสมควร ในเมื่อสารภาพมาแล้ว 80% ก็ควรจะพูดอีก 20% ที่เหลือว่า สส. ที่มาฝากตำแหน่งผู้กำกับใหม่คือใคร และฝากกี่คน ซึ่งหากจะตรวจสอบคงไม่ยากเกินวิสัย เพราะผู้กำกับมีการโยกย้าย และมีผู้กำกับใหม่อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะหาทางโยงว่า ผู้กำกับที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งมีใครอยู่จังหวัดใด อยู่สถานีตำรวจใดบ้าง และมีความสัมพันธ์โยงใยกับ สส.พรรคเพื่อไทย หรือไม่
“การกระทำของนายกฯ สร้างความผิดต่อสังคม จากนี้จะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมและแสวงหาข้อเท็จจริง ตนเองจะทำบัญชีว่าผู้กำกับคนใดอยู่ในบัญชีสมหวังหรือบัญชีแห้วบ้าง” วิโรจน์ กล่าว
ส่วนกรณีนี้จะทำให้ เศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ วิโรจน์ มองว่า เป็นการถูกตั้งคำถามจากสังคมมากกว่า เพราะต่อไปนี้ ประชาชนจะเชื่อคำพูดของนายกฯ ได้อีกหรือไม่
สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาเรียกร้องให้ เศรษฐา ลาออกจากการเป็นนายกฯ นั้น มองว่า ก็ถือเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่การตัดสินใจอยู่ที่นายกฯ จึงขอถือโอกาสนี้ให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ อย่าให้เรื่องที่พูดกันว่า "ถ้าคุณไม่วิ่งไม่หาเงินมาซื้อตำแหน่ง โอกาสที่จะได้ขึ้นผู้กำกับก็ยาก" เป็นความจริง นั่นจะแสดงถึงความท้อแท้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต
วิโรจน์ ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า เข้าใจดีว่า เศรษฐา อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ซึ่งแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็มีการติดสินบน และใช้เส้นสายเป็นเรื่องปกติ จึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกฯ ที่ยืนยันว่า จะอยู่ในสังคมที่ถูกต้อง และทำธุรกิจที่ถูกต้องมาโดยตลอดจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้
บี้ ตร. เอาผิด ‘แก๊งอาชีวะ’ สืบที่มาอาวุธ
วิโรจน์ กล่าวถึงปัญหาขัดแย้งระหว่างสถาบันของนักเรียนอาชีวะซึ่งมีพฤติกรรมเหมือนองค์กรอาชญากรรมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดำเนินการสืบสวน สำหรับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายอาญาไม่ว่า จะอยู่ในสถานะใด ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อความสงบของประเทศ
วิโรจน์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนเชิงลึกต่อไปเกี่ยวกับที่มาของอาวุธ เพราะอาวุธที่ใช้ต่างจากการทะเลาะวิวาทในอดีตที่เป็นจำพวกไม้หน้าสาม และเหล็ก แต่ตอนนี้ถึงขั้นมีการจัดหาอาวุธ เชื่อว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนได้ไม่ยาก
ส่วนจะมองว่าเป็นการพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติ อาทิ การค้ามนุษย์ พนันออนไลน์ และสถานบันเทิง วิโรจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นภัยความมั่นคง หากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ยังมีบทบาทอยู่ เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องของขนมอาลัวที่ปั้นเป็นรูปพระเครื่อง