ไม่พบผลการค้นหา
ตลาดหุ้นไทยภาคเช้าวันจันทร์ ร่วงหนัก 34.91 จุด อยู่ในแดนลบทั้งวัน ก่อนฟื้นตัวขึ้นมาปิดตลาดสิ้นวันที่ระดับ 1,622.73 จุด ลดลง 23.95 จุด ผจก.ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจง หุ้นไทยร่วงตามหุ้นต่างประเทศ ยืนยัน 8 เดือนที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวขึ้นร้อยละ 3 ต่างชาติยังซื้อสุทธิ 'สมคิด' สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรง 34.91 จุด หรือร้อยละ 2.12 ในการซื้อขายภาคเช้าที่ผ่านมา เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลง เนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามข่าวความขัดแย้งทางการค้าอย่างต่อเนื่องว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง 

ดังนั้น ขอให้นักลงทุนอย่าตกใจ เพราะเป็นสถานการณ์โลกไม่ใช่จากปัจจัยในประเทศ โดยหุ้นที่ถูกเทขายวันนี้เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังอเมริกา รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลายหุ้นเหล่านี้ก็จะปรับตัวกลับมา 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นได้ประมาณร้อยละ 3 ในรูปของเงินบาท และปรับขึ้นร้อยละ 9.6 ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ นอกจากนี้ หากเทียบระดับราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ หรือ P/E ratio ราคาหุ้นไทยถือว่าไม่แพง หากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค และอัตราการจ่ายเงินปันผลยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค 

นอกจากนี้ การกระจายความเสี่ยงยังถือเป็นเรื่องสำคัญ นักลงทุนควรเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ราคาไม่ได้ปรับลงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นไทย แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการไหลออกไปบ้างเป็นไปในลักษณะเดียวกับภูมิภาค ซึ่งมั่นใจว่าหากสถานการณ์ต่างประเทศมีความชัดเจนขึ้นเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทย เพราะนักลงทุนระยะยาว ( Passive Investor) ต้องลงทุนตามน้ำหนักของ MSCI Index ซึ่งที่ผ่านมาได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยจากร้อยละ 2.5 เป็นร้อยละ 3 และแม้ว่าในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าจะมีการปรับน้ำหนักการลงทุนของ MSCI Index อีกครั้งก็คาดว่ามีผลกระทบไม่มาก เพราะเป็นการปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยเพียงเล็กน้อย แม้ว่า MSCI Index จะนำหุ้นจีนกับหุ้นซาอุดิอาระเบียมารวมใน MSCI Emerging Market  

"ตอนนี้เป็นสถานการณ์โลกไม่แน่นอนสูง ติดตามข้อมูลข่าวสารและบทวิเคราะห์ให้ดี ในความเสี่ยงมีโอกาสเสมอ ต้องดูว่านักลงทุนรับความเสี่ยงได้อย่างไร เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรของสิ่งที่จะลงทุน มีทั้ง 2 ส่วน สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยปกติ ต้องดูข้อมูลให้ดี และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่จำเป็นต้องออกเครื่องมือมาเพิ่มเติม แต่ควรมีการให้ข้อมูลกับนักลงทุนเมื่อมีสถานการณ์ไม่ปกติมากกว่า" นายภากร กล่าว 

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันนี้ (26 ส.ค.) ที่ระดับ 1,622.73 จุด ลดลง 23.95 จุด หรือติดลบร้อยละ 1.45 เมื่อเทียบกับวันศุกร์ที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขาย 64,691.57 ล้านบาท โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน ดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,624.77 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,609.40 จุด 

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 

PTT ปิดตลาดที่ 41.00 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,643.54 ล้านบาท

PTTEP ปิดตลาดที่ 115.00 บาท ลดลง 6.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,594.37 ล้านบาท

IVL ปิดตลาดที่ 30.50 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,667.49 ล้านบาท

GULF ปิดตลาดที่ 141.50 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,371.22 ล้านบาท

SCC ปิดตลาดที่ 402.00.00 บาท ลดลง 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,111.09 ล้านบาท

โดยวันนี้ (26 ส.ค.) หลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมีจำนวน 409 หลักทรัพย์มีราคาลดลง 1,342 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 293 หลักทรัพย์

'สมคิด' ยืนยันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง ไม่ใช่ประเด็นภายในประเทศไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงยอมรับว่าขณะนี้ตลาดหุ้นไม่ได้ผันผวนเพียงประเทศไทย แต่ส่งผลไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก นักลงทุนต่างจับตาว่าผลการประชุมผู้นำ G7 จะมีผลออกมาอย่างไร และในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และปัญหาเศรษฐกิจของฝรั่งเศส กรณี Brexit ของอังกฤษ ปัญหาเหล่านี้จึงกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ความกังวลสถานการณ์โลก จึงไม่เกี่ยวกับไทยมากนัก