วันที่ 4 ก.ค. ที่อาคารรัฐสภา ก่อนการประชุมสภาฯ นัดแรก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่าการประชุมในวันนี้น่าจะราบรื่นด้วยดี แต่ในช่วงเช้าพรรคก้าวไกลจะมีการประชุม ส.ส.เพื่อเน้นย้ำอีกครั้ง เพื่ออธิบายถึงกระบวนการทำงานและซักซ้อมการทำหน้าที่ของ ส.ส.พรรคในการโหวตลงคะแนนให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งวันนี้ตนได้ส่งเลขาธิการพรรคไปพูดคุยกับ วันมูหะหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องการเสนอชื่อเป็นประธานสภา ส่วนตนเองจะไปประชุมร่วมกับ ส.ส.พรรค
ทั้งนี้ พิธา กล่าวถึงการเสนอชื่อ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เป็นรองประธานสภาคนที่หนึ่งว่าได้มีการทำความเข้าใจมาตลอดตั้งแต่เดิมตอนจะเสนอชื่อเป็นประธานสภา และร่วมกันตัดสินใจ แต่ ปดิพัทธ์ เป็นคนที่มีสปิริตแรง ย้ำในจุดยืนว่าหน้าที่ไม่ใช่หน้าตา อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าพรรคได้มีการคิดถึงแนวทางในกรณีหากมีพรรคการเมืองอื่นเสนอชื่อประธานสภาแข่งกับ วันมูหะมัดนอร์ แต่เท่าที่ดูเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และเท่าที่ดูก็ตอบรับดี ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลและที่ฝ่ายค้าน น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนตัวจึงเห็นว่าการตัดสินใจของทั้ง 8 พรรคร่วมรัฐบาล เป็นการรักษาเอกภาพและมิตรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล และแสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นและคงเส้นคงวาของพรรคก้าวไกล ว่าเรื่องของหลักการสำคัญกว่าตัวบุคคล ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับหัวหน้าพรรคประชาชาติแล้ว ท่านก็รับหลักการทุกอย่างในการบริหารสภาให้โปร่งใส มีเสถียรภาพ และยึดโยงกับประชาชน
ดังนั้นในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ที่แถลงจุดยืนไปเมื่อวานนี้เรื่องของตำแหน่งประธานสภาก็น่าจะจบลงแล้ว และเรื่องนี้ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าพรรครุกได้ถอยเป็น แม้พรรคอันดับหนึ่งควรจะได้ตำแหน่งประธานสภา แต่เรื่องการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลก็มีความสำคัญ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเวลารุกก็ต้องรุกให้สุด เมื่อเวลาก็ถอยถ้าไม่เสียหลักการและได้ในสิ่งที่เราต้องการจะเห็น
ส่วนกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงจุดยืนว่าหากประธานยังมีแนวคิดที่จะแก้ไขในมาตรา 112 จะไม่โหวตสนับสนุนนั้น พิธา ระบุว่าส่วนตัวยังไม่เห็นรายละเอียดเรื่องนี้ เห็นเพียงพาดหัวข่าวของ ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชมว่านายวันมูหะหมัดนอร์ เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีความเหมาะสม
ทั้งนี้ พิธา ยอมรับว่า ได้มีการมองอนาคตทางการเมืองในระยะยาวไว้แต่เวลาปฏิบัติเป็นวันต่อวัน พร้อมย้ำว่าพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด ซึ่งการทำงานก็มีทั้งเห็นพ้องต้องกันและต้องถกกันอยู่แล้ว แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่คุ้นเคยมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตามสภาพกาลของแต่ละพรรคที่แตกต่างกัน พร้อมชี้แจงว่าคำว่า "รุกได้ถอยเป็น" ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และบริบทดูเป็นแต่ละกรณีไป คนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจให้เป็น
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า วันมูหะมัดนอร์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย จะถือเป็นการปาดหน้าตำแหน่งประธานสภานั้น พิธา มองว่าเป็นแค่การเสมือน เพราะวันนอร์ ถือเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดเป็นของตัวเอง และได้พิสูจน์ตนเองมาตั้งแต่ปี 2522 ภายใต้สังกัดพรรคการเมืองหลายพรรค จึงเชื่อว่าท่านเป็นตัวของตัวเอง จะทำให้รัฐสภาก้าวหน้าได้
พิธา ยังกล่าวถึงความกังวลในการรวบรวมเสียง ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ว่าขณะนี้เราได้เสียง ส.ว.เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง