วันที่ 2 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีตากใบ ซึ่งจะหมดอายุความในอีก 9 เดือนคือ วันที่ 25 ต.ค. 2567
สมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบในเรื่องคดีความต่างๆ เพราะเป็นเรื่องของผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง และตนไม่ได้ดูในเรื่องของความมั่นคง ดูในเรื่องการพัฒนา และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นหลัก ซึ่งเรื่องของการพัฒนา และความมั่นคงต้องแยกออกจากกัน หรืออาจจะมีกรอบที่ได้รับหมองหมายเป็นเรื่องๆ ก็จะดูให้
เมื่อถามว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกรัฐมนตรีในขณะเกิดเหตุดังกล่าว และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น ก็อยู่ในเมืองไทยพร้อมแล้ว สมศักดิ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า คงจะตามดูต่อไป ตนไม่ทราบ
สมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า อยากให้นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด
โดย สมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า เรื่องกระท่อมกับกัญชามีความแตกต่างกัน กระท่อมมีกฎหมายรองรับ และมีอนุบัญญัติมาอธิบายแต่ละมาตราได้ ตนได้ประชุมเกี่ยวกับกระท่อมและพืชสมุนไพรเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ซึ่งพืชสมุนไพรถ้าไม่รวมกระท่อมสามารถสร้างรายได้ตั้งแต่ 2 พันล้านบาท ถึง 4 พันล้านบาท แต่ถ้าเอากระท่อมเข้าไปรวมในพืชสมุนไพรด้วยโดยทำให้ถูกต้องครบถ้วน คาดว่าจะมีรายได้นับหมื่นล้านบาทกับประเทศไทย
ส่วนที่กัญชายังไม่มีกฎหมายรองรับ สมศักดิ์ กล่าวว่า การประกาศกัญชาเป็นพืชหรือสิ่งอื่น เราปลดล็อคออกจากประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่เมื่อปลดล็อคยังไม่มีกฎหมายรองรับ ต้องไปยืมเอากฎหมายอื่น เช่น พืชสมุนไพรตัวอื่นมาประกาศใช้บังคับ ซึ่งมันไม่ครบถ้วนกระบวนความ
“ทางที่ดีที่สุดการจะปลดล็อคหรือไม่ปลดล็อคจะต้องทำให้ครบ หากยังก้ำกึ่งอยู่แบบนี้ก็ต้องมีกฎหมายว่าจะต้องให้กฎหมายนั้นบัญญัติอะไรไว้อย่างไร ถ้ามาพูดกันลอยๆ แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ ขำ เพราะมันไม่มีกฎหมายรองรับ ต้องไปทำให้จริงจัง ต้องทำให้มีกฎหมายเป็นตัวเป็นตน ลองไปคิดดูขนาดกระท่อมตัวเล็กๆ ยังมีกฎหมายรองรับแล้ว ซึ่งมันคนละเรื่องเลยกับกัญชา”สมศักดิ์ กล่าว
สมศักดิ์ กล่าวถึงการผลักดันเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ว่า เป็นเรื่องที่สภาฯ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษา ซึ่ง กมธ.เห็นด้วยที่จะมีการเพิ่มรายได้เข้ามาในประเทศ แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน หรือป้องกันเยาวชนในเรื่องของการพนัน โดยต้องทำควบคู่ไปกับกาสิโน และเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
สมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลตัดสินใจให้มีแล้ว มันจะต้องมีกฎหมายรองรับ และทำอย่างไรประชาชนจะไม่มีความทุกข์กับการกับเสียพนัน นั่นคือ การสร้างภูมิคุ้มกัน เราต้องทำอย่างรุนแรง และแข็งขันถึงจะผ่านไปได้โดยไม่มีอุปสรรค
เมื่อถามว่า ประเทศไทยพร้อมแล้วใช่หรือไม่ที่จะมี Entertainment Complex สมศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า จะต้องมีภูมิคุ้มกัน ต้องสร้างภูมิคุ้มกันก่อน จึงจะเกิดเรื่องนี้ได้ หรืออาจจะทำพร้อมกันไปก็ได้ แล้วแต่คนที่ออกแบบเรื่องนี้ หากดูจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ทำจะเห็นว่า เขามีการสร้างภูมิคุ้มกันพอสมควรในเรื่องนี้