วอยซ์ มุ่งหน้าสู่บ้านไม้หลังเก่าบนถนนศาลาแดง พูดคุยกับ ปุณณ์สิริ บุณยเกียรติ หรือ บีท วัย 31 ปี ผู้สมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 8 พื้นที่ อ.พิปูน อ.ฉวาง อ.ช้างกลาง อ.นาบอน พรรคประชาธิปัตย์ ศิษย์เก่าจากรั้วมหิดล จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Software Engineer) และปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ผู้ผ่านประสบการณ์ทำงานมาแล้วกับทั้งภาครัฐและเอกชน โดยได้รับโอกาสในการเป็นผู้ช่วย ส.ส. ให้กับ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ คุณพ่อของเธอเอง เป็นระยะเวลาหนึ่งปีกว่าๆ ควบคู่กับการทำงานในสายงานเทคโนโลยีกับบริษัทเอกชนชั้นนำ รวมถึงสถาบันทางการเงินของรัฐตั้งแต่เรียนจบ

เมื่อถามว่าครอบครัวมีส่วนผลักดันให้เธอเข้ามาทำงานการเมืองหรือไม่ เธอยอมรับว่า การเติบโตขึ้นมาในครอบครัวนักการเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอได้ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองมาตั้งแต่เด็ก การมีคุณพ่อดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส. 9 สมัย ตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่า เมื่อเธอเกิดมาก็เห็นพรรคประชาธิปัตย์แล้ว และได้เห็นวิธีการทำงานของคนที่เป็น ส.ส. ตลอด เช่น การเปิดบ้านต้อนรับประชาชนเพื่อให้คำปรึกษาหารือในหลากหลายประเด็น รวมถึงกิจกรรมทางการเมืองรูปแบบอื่น เช่น การลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย การหาเสียงในห้วงของการเลือกตั้ง การเข้าไปติดตามบรรยากาศการทำงานภายในสภาฯ รวมถึงการเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียของคุณพ่อของเธอด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เธอได้เติบโตมากับพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เธอได้เห็นถึงการทำงานของนักการเมืองและบุคคลสำคัญหลายคน อาทิ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ถือเป็น 'ไอดอลทางการเมือง' ของเธอ ประกอบกับหลายนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เธอมองว่าเป็นนโยบายที่ดี จับต้องได้ ทำได้จริง เช่น การจัดตั้งกองทุนสำหรับ SME และบริษัทสตาร์ทอัพ ที่ถือว่าสอดคล้องกับ DNA ความเป็นนักนวัตกรรมของเธอ ทำให้เธอมีความสนใจในการทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์

ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอเดินหน้าเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวในตอนนี้ คือ เมื่อ กกต. มีการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชเพิ่มขึ้นมา จากเดิมที่ทำงานสายนวัตกรรม จึงเบนเข็มเข้ามาทำงานการเมือง โดยเอาตัวตนของเธอที่ชื่นชอบเรื่องของนวัตกรรม เทคโนโลยี และการท่องเที่ยว มาเติมเต็มการขับเคลื่อนงานของพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเปิดเผยถึงความตั้งใจของเธอในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้กลายเป็นเมืองศูนย์รวมนวัตกรรม มุ่งสู่การเป็น 'ดิจิทัลฮับ' (Digital Hub) ของภาคใต้ 

โดยเธอได้ยกตัวอย่างแนวคิด "Work from Anywhere" ที่ว่าผู้คนสามารถที่จะทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ผ่านการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น นักศึกษาหลายคนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในจังหวัดนครศรีธรรมราช และถูกตอบรับเข้าทำงานกับองค์กรที่มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพ ก็สามารถเชื่อมต่อกับคนในที่ทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ถ้าทำให้นครศรีธรรมราชเป็น ‘ดิจิทัลฮับ’ ของภาคใต้ได้สำเร็จ ก็จะทำให้คนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานถึงกรุงเทพ เพราะสามารถทำงานในจังหวัดของตัวเองได้ และเมื่อเกิดการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมขึ้น การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวในเมืองรองก็จะเกิดขึ้นด้วย เพราะบริษัทใหญ่ๆ มักจะมีสำนักงานอยู่ตามเมืองสำคัญ การเป็น 'ดิจิทัลฮับ' ก็จะสามารถดึงดูดผู้คนให้เดินทางเข้ามาในจังหวัดได้มากยิ่งขึ้น

เธอบอกด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีกระแสตอบรับที่ดีในพื้นที่ภาคใต้ โดยคาดว่ากระแสจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่การเมืองมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น จากการพบปะพูดคุยกับประชาชนระหว่างลงพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ หรือคนวัยทำงาน เธอเห็นว่าหลายคนมีความรักและผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นเวลานาน ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของอดีต ส.ส. ในพื้นที่มีส่วนสำคัญในการทำให้พวกเขายัง "มีใจ" ให้กับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ 

อย่างไรก็ดี เมื่อถามว่ากระแสนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ที่หลายฝ่ายต่างมองว่า มีความลดด้อยถอยลงในช่วงนี้ เพราะบุคลากรเก่าๆ ของพรรคทยอยลาออกเพื่อไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นนั้น จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในพรรคและตัวเธอเองหรือไม่ เธอบอกว่า เมื่อมีเลือดไหลออก ก็มีเลือดใหม่ไหลเข้ามาในพรรคค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด ที่มีคนรุ่นใหม่อาสาเข้ามาทำงานเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนจำนวนมาก ซึ่งคนเหล่านั้นก็เป็นคนที่มีใจรักที่จะทำงานการเมืองอยู่แล้ว.

ภาพ : เสกสรร โรจนเมธากุล