ไม่พบผลการค้นหา
จีนตัดสินใจชะลอเศรษฐกิจจากปัญหาหนี้สาธารณะ ขณะเดียวกันก็เผชิญหน้ากับสงครามการค้า บรรดาบริษัทเอกชนแบกความเสี่ยงภาระหนี้

แม้ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการใหม่ที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือผู้ประกอบการ สถาบันให้คะแนนหลายแห่งยังคงออกมาบอกว่าบริษัทต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้การจ่ายหนี้คืนเป็นเรื่องยาก

หลังจากรัฐบาลจีนประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปี 2561 ที่อยู่ที่ร้อยละ 6.6 ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ และแม้ว่าตัวเลข 6.6 นี้แทบจะเป็นตัวเลขในฝันของประเทศอื่น แต่สำหรับเศรษฐกิจอันดับที่ 2 ของโลก นี่ไม่ใช่ตัวเลขที่สวยงามนัก

"การชะลอตัวของเศรษฐกิจกำลังกระจายตัวไปทั่วประเทศจีน ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทแทบทุกอุตสาหกรรม"

สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (เอสแอนด์พี) บริษัทตีพิมพ์วิจัยด้านการเงินและบทวิเคราะห์หุ้นและพันธบัตร กล่าวในรายงาน โดยในรายงานดัวกล่าวระบุว่า แม้รัฐบาลจีนจะมีความพยายามในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้อยู่บนความมีเสถียรภาพและความมั่นคงมากขึ้น ด้วยการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศที่สูงมาก ผลกระทบที่เป็นเงาตามตัวคือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนอย่างถ้วนหน้า 

ความกดดันทางการค้า

ความหวาดกลัวต่อหนี้สาธารณะที่สูงเสียดฟ้าของจีน ส่งผลให้ช่วงปีที่แล้วรัฐบาลชะลอการปล่อยกู้และจัดการกับการปล่อยกู้ที่ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานปกติหรือที่รู้จักกันในชื่อ 'ธนาคารเงา' 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงประกอบกับภาวะความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำจีนต้องปล่อยมาตรการ อาทิ การให้ธนาคารปล่อยกู้มากขึ้นรวมไปถึงการลดภาษี ออกมาช่วยพยุงผู้ประกอบการ

มูดีส์อินเวสเตอส์เซอร์วิส ธุรกิจจัดอันดับเครดิตพันธบัตรของบริษัทมูดีส์ รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (24 มกราคม) ที่ผ่านมาว่า แม้ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการช่วยเหลือบริษัทเอกชนด้วยการให้สินเชื่อเพิ่ม แต่นั่นก็ดีสำหรับ "บริษัทที่มีพื้นฐานที่เข้มแข็งอยู่แล้ว" 

มูดีส์ยังคงแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ตอนนี้อีกว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ จะสร้างความลำบากในการจ่ายหนี้สำหรับบริษัทเอกชนต่างๆ

อ้างอิง; CNBC

ข่าวที่เกี่ยวข้อง;