ที่ลานจักรพงษ์ นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนาม ‘คณะจุฬา’ ร่วมกับองค์การนิสิตจุฬาฯ และสภานิสิตจุฬา ได้นัดหมายจัดกิจกรรม "10 มีนาจุดเทียนตามหาความยุติธรรม" เพื่อร่วมกันไว้อาลัยให้กระบวนการยุติธรรมไทยที่บิดเบี้ยวและไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชน หลังศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวแกนนำ และผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองหลายรายทั้งในคดี 112 และคดีอื่นๆ หลายราย
โดยกิจกรรมในวันนี้มีลักษณะเป็นจัดเวทีปราศรัย และมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เช่น การนัดกันใส่เสื้อสีดำเพื่อไว้อาลัยกระบวนการยุติธรรม การจุดเทียน รวมทั้งการมอบดอกไม้ให้กำลังใจแม่ของเพนกวิน พริษฐ ชิวารักษ์ และการเผาตำรากฎหมายทิ้ง
เบญจา อะปัญ หนึ่งในสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยด้วยว่า การต่อสู้ที่ผ่านจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะมีคนมาก หรือน้อย ไม่ว่าจะหลักร้อย หรือหลักแสน ทุกคนที่ออกมาล้วนเป็นพลัง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ทุกออกมาด้วยใจ และจุดมุ่งหมายเดียวกัน
“เรายอมรับว่ากระแสม็อบแผ่วลง แต่เรายังยืนยันว่าเรา เพื่อนเราไม่ว่าจะอยู่ข้างนอก หรือข้างในเรือนจำ ทุกคนจะสู้ต่อแน่นอน และจะไม่ท้อ เราจะยังสู้ต่อ และขอให้ทุกคนสู้ไปด้วยกันอย่าเพิ่งหมดหวัง เราจะสู้จนกว่าจะถึงเส้นชัย” เบญจา กล่าว
เธอกล่าวต่อว่า จากวันที่ 9 ก.พ. ถึงวันนี้ เป็นระยะเวลา 1 เดือนแล้ว ที่เพื่อน 4 คนถูกขังอยู่ในเรือนจำ และเมื่อ 2-3 วันก่อนก็มีเพื่อนอีกหลายคนถูกนำไปขังเพิ่มอีก หลายคนอาจจะคิดว่า ขังไม่นานก็คงปล่อยเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการนี้ไม่เหมือนกัน เพราะครั้งนี้เราไม่รู้ว่าเมื่อใดทุกคนจะได้ออกมา ครั้งนี้เป็นการขังระหว่างรอพิจารณาคดี เป็นการขังที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะสิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่เพื่ออีกหลายคนกลับไม่ได้รับสิทธินั้น แม้ทนายจะยื่นประกันไปแล้วหลายรอบ
“แต่มีคำพูดหนึ่งที่เพนกวิน ได้บอกไว้ว่าคุกอาจจะขังดวงดาวได้ แต่คุกไม่อาจขังแสงของดาวได้ เราไม่รู้ว่าการขังครั้งนี้จะนานเท่าไร เราไม่รู้ว่ากระแสม็อบหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เราสัญญาว่าเราจะทำให้ดีที่สุด และเราเชื่อมั่นในพลังของประชาชนทุกคน ต่อให้ไม่มีแกนนำ ต่อให้วันที่ 25 นี้ หลายๆ คนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เราเชื่ีอว่าทุกคนจะสู้ไปด้วยกัน” เบญจา กล่าว
นอกจากนี้ เบญจา ยังระบุด้วยว่า ต้องการฝากบอกกับทีมจุฬาว่า ไม่ต้องทำอีกต่อกิจกรรมฟุตบอลประเพณีอีกต่อไปแล้ว เพราะถึงเวลาแล้วที่ต้องออกมาช่วยกันจัดม็อบประเพณีในทุกมหาวิทยาลัย
ด้านสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของเพนกวิน กล่าวด้วยว่า ที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมในวันนี้เพราะต้องการให้กำลังใจน้องๆ นิสิตนักศึกษา และพี่น้องประชาชนที่มาวันนี้ อยากให้ทุกคนสู้ต่อไป เพราะทุกคนที่อยู่ในคุก พวกเขายอมสละอิสรภาพ และอนาคต โดยหวังว่าจะทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น แม้เราจะยังไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาหวังจะสำเร็จในยุคนี้หรือไม่ แต่พวกเขาเชื่อว่ามันจะส่งผลที่ดีให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป
“หลายๆ คนอาจจะห่วงว่าเพนกวินเป็นอย่างไร อยากจะบอกว่าเขาเข้มแข็งมาก หัวใจเขาเข้มแข็งกว่าแม่อีก เขาเป็นห่วงมวลชนข้างนอกเสมอ เขาอยากให้เราสู้ต่อไป ถึงแม้วันนี้เราอาจจะคิดว่าไม่มีดวงดาวเลยสักดวง เพราะดาวดวงอยู่ในคุก แต่แม่เชื่อว่าที่นี่แค่ในจุฬาฯ ตรงนี้ก็ยังมีดาวดวงอีกหลายดวง และจริงๆ ข้างนอกก็ยังมีดวงดาวอีกเป็นแสนล้านดวง แม่อยากให้ดาวดวงเหล่านั้นเปล่งประกาย” สุรีรัตน์ กล่าว
ในวันเดียวกันยังมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีกหนึ่งจุดที่ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งเกาะพญาไท นำโดย ตี้ พะเยา กลุ่มแดงก้าวหน้า 63 โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้สลับกันขึ้นกล่าวปราศรัยผ่านโทรโข่ง โดยใช้พื้นที่บริเวณฟุตบาทด้านหลังจุดจอดรถประจำทางในการทำกิจกรรม ซึ่งมีมวลชนจำนวนหนึ่งนั่งรับฟังการปราศรัย ที่มีการเรียกร้องถึงกระบวนการยุติธรรมให้กับประเทศ หลังศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำราษฎร
มีการปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆที่ไม่สามารถตอบสนองต่อประชาชนที่อยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวจากวิกฤตโควิด-19 รวมถึงการใช้งบประมาณที่ไม่ได้แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้อย่างครอบคลุมและตรงจุด
จุดมุ่งหมายของการปราศรัยยังคงเรียกร้องความยุติธรรมในประเทศที่ไม่ควรมีการเลือกปฏิบัติ รวมถึงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
ขณะที่การจราจรในบริเวณโดยรอบพื้นที่ รถยังสามารถสัญจรได้ตามปกติ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงทำกิจกรรมอยู่บนทางเท้า ไม่ได้ลงสู่พื้นผิวการจราจร ส่วนการดูแลความปลอดภัยการชุมนุมนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด