วันที่ 8 พ.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการคัดแยกบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ส.ส. ที่ลงคะแนนแล้ว ณ ไปรษณีย์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการ กกต. และดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย ร่วมเปิดห้องสังเกตการณ์การคัดแยกซองในการเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า โดยภาพรวมผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งสิ้น 91.83% โดยแบ่งเป็นการลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขต 2,014,903 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 2,235,830 คน คิดเป็น 91.83% และลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต 57,362 คนจากจำนวน 67,086 คนคิดเป็น 94.37% ขณะที่เลือกตั้งกลาง สำหรับ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ มีผู้ใช้สิทธิ 2,124 คนจากจำนวน 2,356 คน คิดเป็น 90.15% 

โดยในเวลา 10.50 น. ไปรษณีย์ไทยได้เปิดเผยระบบติดตามการรับเข้าบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต แสดงให้เห็นว่า จากจำนวนการขนส่งบัตรเลือกตั้งทาง ไปรษณีย์ทั้งหมด 473 งาน ถึงศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่แล้ว 452 งาน คิดเป็น 95.56% เปิดถุงคัดแยกแล้ว 83 งาน โดยรับเข้าระบบขนส่งเป็นจำนวน 57 งาน คิดเป็น 12.05% และอยู่ในระหว่างขนส่งไปยัง กกต.ประจำจังหวัดต่างๆ 20 งาน คิดเป็น 4.23% 

ขณะที่รายงานการรับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยมีการรับบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรจากเมืองต่างๆ ทั่วโลกเป็นจำนวน 71 จาก 94 เมือง คิดเป็น 75.53% โดยสรุปเป็น 53 ประเทศจากทั้งหมด 66 ประเทศ คิดเป็น 80.3% 

โดยระบบการเฝ้าติดตามศูนย์ปฏิบัติการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งนั้น กกต. เปิดเผยว่า มี CCTV มากกว่า 25 ตัว และมีจอ Dashboard ในการติดตามการคัดแยก และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำในทุกเส้นทางที่รถไปรษณีย์ขนส่ง รวมถึงมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการคัดแยกตลอด 24 ชั่วโมง 

สำหรับขั้นตอนการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ในเขต และนอกราชอาณาจักรนั้น ไปรษณีย์ไทย เปิดเผยว่า จะมีการใช้ถุงสีฟ้าในการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งใหม่ และทำการเช็คยอดโดยเป็นการเปิดนับสอบทวน 3 รอบว่า จำนวนซองใส่บัตรถูกต้องตามบัญชีต้นขั้วหรือไม่ เสร็จแล้วจึงเรียกใส่กระบะ บรรจุลงถุงที่มีการเฝ้าระวังติดตาม และคัดแยกไปสู่เขตเลือกตั้งจำนวน 400 เขต ทั่วประเทศ 

ไปรษณีย์ไทย ยังระบุอีกว่า ตามแผนเดิมนั้น บัตรเลือกตั้งล่วงหน้าจะเข้ามาสู่ระบบของไปรษณีย์กลางตั้งแต่เมื่อคืนวาน (7 พ.ค.) ภายหลังการปิดหีบ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกตั้งแต่วันที่ 7-10 พ.ค. พร้อมส่งมอบไปที่เขตเลือกตั้ง 400 เขตในวันที่ 11-12 พ.ค. ส่วนการคัดแยกบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรนั้นก็จะมีขั้นตอนที่คล้ายกับการคัดแยกบัตนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต และในเขต แต่จะมีกรรมการ 3 ฝ่ายจาก กรมการกงสุล กกต. และไปรษณีย์ไทย ในการทำงานร่วมกัน 

ซึ่งในระหว่างการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งนั้น ตั้งแต่กระบวนการรับซองมาที่ไปรษณีย์ไทย จะมีการเช็คยอดกับจำนวนต้นขั้วที่รายงานเข้ามาที่ กกต. ซึ่งตอนปิดถุงจะมีการบันทึกฉบับของซองอีกครั้ง ซึ่งตัวเลขของทั้งจำนวนต้นขั้ว และจำนวนซองใส่บัตรจะกระทบยอดกันโดยอัตโนมัติ จะไม่มีเหตุผิดปกติว่า บัตรเพิ่ม หรือบัตรลดแต่อย่างใด 

ทั้งนี้จากกระแสของโซเชียลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในหลายเขตของการเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ไม่ได้ระบุเขต หรือกรอกรหัสเขตเลือกตั้งก่อนหย่อนลงในหีบ แสวง ระบุว่า หากกรอกข้อมูลไม่ครบ ในศูนย์ปฏิบัติการคัดแยกจะมีโต๊ะสำหรับเจ้าหน้าที่ กกต. ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยซองแต่ละฉบับที่มีความไม่ชัดเจน ส่วนจะมีซองที่ไม่ได้กรอกอะไรเลยหรือไม่ คาดว่าไม่น่ามี เพราะก่อนการจัดส่งให้ไปรษณีย์ต้องมีการเช็คกับต้นขั้วที่หน่วยอยู่แล้ว

“ยอมรับว่าขั้นตอนการวินิจฉัยยุ่งยาก แต่ก็มีทีมงานที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ นี่คือระบบการตรวจเช็ค ซึ่งมีหลายขั้นตอน อย่างน้อยบัตรต้องเท่ากัน ยืนยันว่า จะรักษาทุกคะแนนเสียงของประชาชนตามเจตนารมณ์ที่ได้ลงคะแนนเอาไว้ “ แสวง ระบุ 

ส่วนวันที่ 14 พ.ค. จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก โดยในวันดังกล่าว การบริหารการเลือกตั้งจะจัดการได้ง่ายกว่านี้ เพราะไม่ต้องมีซองสำหรับส่งไปตามเขตเหมือนการเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงมีหีบให้หย่อนบัตรทั้ง 2 ใบ ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสน แต่ทั้งนี้มองว่า เรื่องหีบไม่ใช่ประเด็น เพราะถ้าหากจ่าหน้าซองถูกต้องก็จะไม่เกิดความผิดพลาด โดยที่ทาง กกต. ได้ตระหนักเรื่องนี้ และกำชับให้มีการตรวจสอบแล้ว 

ส่วนข้อกังวลที่ว่า คะแนนจะปลอดภัยได้อย่างไรนั้น แสวง กล่าวว่า ในซองใส่บัตรเลือกตั้งล่วงหน้านั้นจะมีช่องสำหรับ กปน. เซ็นชื่อ และเอาเทปใสติดไว้ นั่นหมายความว่า ถ้าใครไปทำอะไรกับซองเราจะทราบทันที 

เมื่อถามถึงกระแส #กกตมีไว้ทำไม แสวง ชี้แจงว่า เป็นเพียงความรู้สึกของประชาชนที่มองเราแบบนั้น ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลจะฟ้องร้องหาก กกต. มีความผิดพลาด แสวง กล่าวว่า เป็นสิทธิของพรรคการเมืองแต่ละพรรค