พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เรียกประชุม ศบค.ชุดเล็ก ซึ่งประกอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นพ.อุดม คชินทร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาฯ สมช. พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เข้าร่วมประชุม บนตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อประเมินสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 หลังผ่อนคลายมาตรการเป็นระยะไปแล้ว
ขณะที่ ล่าสุดพบ กรณี 2 หญิงไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและผ่านการกักกันตัว 14 วัน แล้วกลับบ้านใช้ชีวิตปกติ แต่หลังจากนั้นเข้าตรวจร่างกายเพื่อเดินทางกลับไปต่างประเทศ พบสารพันธุกรรมของเชื้อ โควิด-19 แต่เชื้อน้อยมาก
อีกทั้งในการประชุมวันนี้ ยังมีเรื่องการเตรียมการผ่อนปรนเปิดให้ผู้ชมกีฬา คอนเสิร์ต การเดินทางเต็มรูปแบบภายในประเทศ ทั้งทางบก น้ำ อากาศ
ทั้งนี้ ก่อนการประชุม นพ.อุดม อธิบายกรณี 2 เคสหญิงไทยล่าสุด ว่าซากเชื้อโควิด-19 ไม่แพร่ระบาด ซึ่งจากการยืนยันของกระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่าทั้งสองผ่านการกักกันตัวของรัฐ 14 วัน โดยไม่พบเชื้อ ก็ไม่มีปัญหา แต่ทั้งนี้การพบซากเชื้อในไทย ก็พบอยู่ประปราย ยืนยันว่า ซากเชื้อไม่ติดต่อ ขอประชาชนสบายใจได้อย่าตื่นตระหนก โดยจะไม่ส่งผลต่อการผ่อนคลายมาตรการใดๆ เพราะที่ผ่านมาไทยไม่เคยลดมาตรการด้านสาธารณสุข และการพบซากเชื้อก็ไม่ใช่การแพร่ระบาดรอบ 2
สำหรับการประชุมในวันนี้ จะมีการพิจารณาให้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพิ่มเติม เช่นให้ประชาชนเปิดเข้าชมกีฬา หรือคอนเสิร์ต ตามขนาดพื้นที่ เป็นต้น
ส่วนการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่พิจารณางบประมาณ 600 ล้านบาทร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด นั้น นพ.อุดม ชี้แจงว่า ต้องทำความเข้าใจว่า หากไทยดำเนินการเองต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่งในประเทศมี บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่พร้อมผลิตได้ แต่เมื่อยกระดับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จะพัฒนาผลิตวัคซีนได้ถึง 200 ล้านโดส และเมื่อมีความร่วมมือก็จะเป็นบริษัทที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก และสามารถจำหน่ายวัคซีนให้ต่างประเทศได้
พร้อมกับยืนยันว่า วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกัน โควิด-19 คือการผลิตวัคซีน มาป้องกัน
สธ.ย้ำผลตรวจหญิงไทยในจ.เลย เป็นซากเชื้อ
ในช่วงเย็น ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ผศ.นพ.ชนเมธ เตชะแสนศิริ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีหญิงไทยอายุ 35 ปี ตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 ขณะเตรียมตัวเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยไม่มีอาการ ปรากฏว่าผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในครั้งที่ 1 วันที่ 18 ส.ค. 2563 พบสารพันธุกรรมในปริมาณน้อย และเมื่อตรวจซ้ำอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 18 และ 20 ส.ค. 2563 ด้วยตัวอย่างเดิม และตัวอย่างที่เก็บใหม่ ผลไม่พบสารพันธุกรรม ซึ่งตรงกับผลการตรวจยืนยันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ส่วนผลการตรวจเลือดพบมีภูมิคุ้มกัน บ่งชี้ว่าเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ซึ่งการติดเชื้ออาจจะเกิดขึ้นในขณะทำงานที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จนถึงจ.เลย ซึ่งรายนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาล ระหว่างรอผลการตรวจเพาะเชื้อ (Viral culture) เพื่อยืนยันว่าเชื้อไม่สามารถแพร่ได้ จะทราบผลภายใน 1 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหญิงรายนี้จะไม่สามารถแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ แต่กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนและมาตรการป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งการค้นหาและติดตามผู้ใกล้ชิดในครอบครัวและชุมชนพร้อมให้คำแนะนำให้เฝ้าระวังอาการป่วยและเน้นการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยที่มีระบบเข้มแข็ง และไม่ต้องปิดโรงเรียนเนื่องจากหญิงรายนี้ไม่เคยเดินทางไปที่โรงเรียน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: