นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ หมอเลี๊ยบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กรำลึกครบรอบ 10 ปีการเสียชีวิตของนพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้บุกเบิกและผลักดันนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยหมอเลี๊ยบได้เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการสาธารณสุขไทย ตลอดการทำงานของ นพ.สงวน ที่กลายเป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งคนรุ่นหลังควรเรียนรู้ด้วยว่า นพ.สงวนทำอย่างไร จะทำภารกิจที่อยู่ข้างหน้าได้ดีขึ้น
โดย นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ถือเป็นบุคคลสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปแวดวงสาธารณสุขไทย ด้วยการคิดค้นวิจัยและผลักดันให้เกิดโครงการสำคัญ แม้ว่าจะผ่านมากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ที่เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด ด้วยอายุ เพียง 56 ปี แต่ในปัจจุบันยังมีการจัดงานรำลึกและยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับตำนานที่เป็นผู้สร้างคุณูปการต่อระบบสาธารณสุขของไทย
(ภาพจาก: ปฏิทินป๋วย 2561 โดยมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป)
ทำไมผมและเพื่อนอีกหลายคนจึงอยากทำงานกับนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
...................................................
วันนี้..ครบ 10 ปี การเสียชีวิตของนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ นายแพทย์หนุ่มใหญ่ที่เป็นตำนานของวงการสาธารณสุขไทย
ชื่อของนายแพทย์สงวน ซึ่งผมมักเรียกอย่างคุ้นเคยว่า 'พี่หงวน' ถูกเอ่ยขานทุกครั้งเมื่อใครก็ตามพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ '30 บาทรักษาทุกโรค' ที่จริง พี่หงวนมีผลงานอีกมากมายที่ผมนึกถึง ตลอดช่วงเวลาเกือบ 34 ปีที่ได้นับถือเป็นพี่น้องกัน
ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อ พ.ศ.2517 ตอนนั้นพี่หงวนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 เราเรียกกันว่า ชั้น 'ปรีคลินิก' แต่เขายังเรียนในชั้นเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ และบางเวลาก็ข้ามไปเรียนที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งอยู่ติดกัน
พี่หงวนเป็นนักกิจกรรมนักศึกษาตัวยง ที่ชอบคิด ชอบเขียนทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ผมเคยอ่านบทกวีที่น่าทึ่งของผู้ใช้นามปากกาว่า 'พงศา อารัมภ์' จนอยากรู้จักตัวเป็นๆ ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง
พี่หงวนยังเป็นบรรณาธิการหนังสือมหิดลสาร ประธานชมรมรัฐศึกษา นายกสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ และเป็นนายกองค์การบริหาร สหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ตึกสันทนาการของคณะวิทยาศาสตร์ คือศูนย์รวมกิจกรรมของนักศึกษามหิดลในขณะนั้น เราทั้งทำกิจกรรมในเวลาบ่ายและเย็น กวนกาวเพื่อติดโปสเตอร์ในเวลาค่ำ บางครั้งประชุมกันถึงดึกดื่น พี่หงวนมักเดินข้ามไปมาระหว่างคณะฯ สลับไปมาระหว่างการประชุมเรื่องกิจกรรมนักศึกษากับการขึ้นตึกผู้ป่วยอยู่เสมอ
หลังปี 2519 พี่หงวนไปทำงานที่โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ สร้างกิจกรรมสาธารณสุขชุมชนที่เลื่องลือจนโรงพยาบาลราษีไศลกลายเป็น 'ตักศิลา' ของนักศึกษาในยุคนั้นที่มีความใฝ่ฝันในการดูแลผู้ยากไร้ในชนบท ทุกช่วงปิดเทอมมีนักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และนักศึกษาสายสาธารณสุขอื่นๆ ไปขอฝึกงานกันคลาคล่ำ
ต่อมา พี่หงวนย้ายกลับเข้ามาทำงานในกระทรวงสาธารณสุข และกลายเป็นนักคิดคนสำคัญที่ผลักดันงานวิจัยมากมายซึ่งนำไปสู่การปฏิรูประบบสาธารณสุขสำคัญๆ ในช่วงทศวรรษ 2530-2540 แล้วสะสมองค์ความรู้เหล่านั้นจนนำไปสู่การผลักดันนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำเร็จได้ใน พ.ศ.2544
น่าเสียดายที่พี่หงวนอายุสั้น จากโลกนี้ไปด้วยอายุเพียง 55 ปี
ผมยังจำภาพวันที่เพื่อนพ้องน้องพี่ไปเยี่ยมพี่หงวนที่โรงพยาบาลรามาธิบดีก่อนเสียชีวิตไม่นาน เราร้องเพลง 'แสงดาวแห่งศรัทธา' ที่เรารู้ว่าพี่หงวนชอบและฝังใจ เสียงเพลงวันนั้นกระท่อนกระแท่น บางคนร้องไม่จบ เพราะทนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ผมมาทบทวนดูว่า ทำไมพี่หงวนทำงานออกมาได้มากมายในช่วงชีวิตของเขา
ทำไมเมื่อน้องๆ ต้องการคำปรึกษา จะนึกถึงพี่หงวนเป็นคนแรกๆ ทำไมทุกคน ทุกฝ่าย (และทุกสี) ถึงพร้อมร่วมทำงานกับพี่หงวน สำหรับคนอื่น ผมไม่ทราบ แต่สำหรับผมและเพื่อนอีกหลายคน เราตอบตัวเองได้ว่า เพราะพี่หงวน คนที่เรารู้จัก
- เขามี 'แรงปรารถนา' อยากให้โลกนี้ดีขึ้น
- เขารู้จริงในสิ่งที่เขาทำ
- เขาอ่อนน้อมถ่อมตน จริงใจ ซื่อสัตย์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
- เขาไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร ไม่เคยแทงหลังใคร
- เขาให้เกียรติและให้เครดิตเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้กล้าคิด กล้าทำ
และ...เรารู้ว่า เมื่อเราพบความยากลำบากในการทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาพร้อมยืนเคียงข้างเราเสมอ
คนหนึ่งคน แม้เขาจากไปแล้ว 10 ปี ยังมีคนรุ่นหลังระลึกถึง หวังว่า เราไม่ระลึกถึงเพียงว่า "เขาทำอะไร" แต่เรียนรู้ด้วยว่า "เขาทำอย่างไร ด้วยจิตใจแบบไหน" เพื่อเราจะทำภารกิจที่รอเราอยู่ข้างหน้าได้ดีขึ้น
กว่า 40 ปีก่อน เมื่อมีเพื่อนนักศึกษาที่ร่วมทำกิจกรรมเสียชีวิต นักกิจกรรมที่ตึกสันทนาการมักอ่านข้อความบทหนึ่งเพื่อเติมพลังใจให้แก่กัน เป็นข้อความจากหนังสือ 'เบ้าหลอมวีรชน' ของนิโคไล ออสต๊อฟสกี้ แปลโดย เทอด ประชาธรรม ซึ่งพี่หงวนได้ใช้พลังใจนั้นมาตลอดชีวิตของเขา
"สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต
และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว
เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่า
วันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย...
ชีวิตเช่นนี้เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน
และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉัน
ได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้
นั่นคือ การต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์.."