ไม่พบผลการค้นหา
กองทัพ สรุปผลสอบการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัณกาญจน์ หรือ "น้องเมย"สาเหตุจากหัวใจวายเฉียบพลัน ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับการซ่อมหรือธำรงวินัย


พลอากาศเอกชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ยืนยันว่าเกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับการซ่อมหรือธำรงวินัย

โดยระบุว่าจากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 42 คน ทั้งนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 และ 3 รวมไปถึงกองแพทย์ของโรงเรียนเตรียมทหาร และแพทย์ที่เกี่ยวข้องจากโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และโรงพยาบาลพระมงกุฎ รวมไปถึงนายทหารปกครอง อาจารย์ประจำชั้น ครูพลศึกษา และผู้ช่วยนายทหารยกกระบัตร พลขับรถพยาบาล เวรประจำวันกองแพทย์ โดยทั้งหมดได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงทุกเหตุการณ์อย่างละเอียดรอบคอบ โดยสมัครใจ 

ซึ่งผลจากสอบสวนพบว่าตลอดทั้งวันของวันที่17 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ไม่ได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดสั่งทำการลงโทษหรือทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิต โดยที่พยานให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า ตลอดทั้งวันเว้นช่วงที่เป็นลมในช่วงบ่าย น้องเมยสามารถพูดและเดินได้เป็นปกติ ยกเว้นหลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ปกครองแล้วมีอาการเครียดสูงและได้หมดสติไปเองต่อหน้าพยานซึ่งล้วนเป็นเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ซึ่งเพื่อนที่เข้าไปช่วยให้ความเห็นว่าน้องเมยมีอาการไฮเปอร์เวนติเลชั่น ซึ่มักจะหายใจติดขัด แน่นหน้าอก และเกิดอาการ มือจีบ ซึ่งตรงกับอาการของน้องเมย จึงพาไปส่งกองแพทย์ ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และทำการซีพีอาร์เป็นเวลา 4 ชั่วโมงตามคำขอของผู้ปกครอง ที่ให้ช่วยทำซีพีอาร์จนกว่าครอบครัวจะไปถึง 

ส่วนร่องรอยการฟกช้ำตามร่างกายสาเหตุเกิดจากการลื่นตกบันได ในวันที่ 10 ตุลาคม โดยภาพจากกล้องวงจรปิดทำให้เห็นว่าน้องเมยได้ลื่นเสียหลักจากอาคารชั้นสองมายังชานพักบันได ซึ่งมีบันไดจำนวน 8 ขั้น ความสูงประมาณ 1.5 เมตร เพื่อนที่ตามมาได้เข้าช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้นน้องเมยมีอาการกุมหน้าอกด้านซ้าย ครูจึงได้ช่วยเหลือและตรวจร่างกาย พบว่ามีอาการจุกบริเวณหน้าอก แต่ไม่พบบาดแผลภายนอก 

อีกทั้งยืนยันว่าการธำรงวินัย หรือซาวน่า ในคืนวันที่ 15 ตุลาคม ไม่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม เนื่องจากน้องเมยถูกแยกออกไปกับเพื่อนอีกสองคน ด้วยแจ้งว่ามีอาการป่วย ซึ่งได้ทำท่ายึดพื้นท่าเตรียม เป็นการยันแขนไว้กับพื้นขณะที่เพื่อนถูกธำรงวินัยท่าอื่นๆ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ดังนั้นจึงมองว่าไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการต่อเนื่อง 

ส่วนกรณีซี่โครงซี่ที่4 ถูกกระแทกระบุว่ายังไม่สามารถระยุได้ เพราะเป็นผลของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางญาตสงวนสิทธิไว้ เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย ดังนั้นทางคณะกรรมการจึงยึดผลของสถาบันพยาธิวิทยา ที่ชี้ว่าอาจมีของแข็งไม่มีคมกระแทก แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากการถูกทำร้าย จึงยังไม่ตัดกรณีซีพีอาร์ ยาวนาน 4 ชม. ที่เกินเวลามาตรฐานออกไป ทั้งระบุว่า กรณีโรคหัวใจไม่ทราบเพราะในระดับการแพทย์ไม่พบ แต่หากตรวจเจอในระหว่างเป็นนักเรียนก็ต้องพ้นสภาพไป แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะเป็นโรคหัวใจหรือไม่ 

ส่วนการปรับปรุงธำรงวินัยนนั้นระบุว่าตัวระบบยังดีอยู่ แต่ที่มีการผิดพลาดหรือมีข้อประเด็นปัญหาเกิดจากตัวบุคคล อย่างเช่น กรณีวันที่ 15 ระเบียบกำหนดห้าม แต่ก็มีการฝ่าฝืน ซึ่งทางโรงเรียนได้มีการตัดคะแนนความประพฤติ นักเรียนบังคับบัญชา 4 คนละปลดออกจากการเป็นนักเรียนบังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นการเสื่อมเกียรติและเป็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ก่อนยืนยันว่า ท่าปักหัว เป็นท่าที่ไม่อนุญาตให้ทำการลงโทษ แต่เป็นท่าที่หน่วยรบพิเศษในบางหน่วยนำไปเผยแพร่ เป็นท่าที่ถูกห้ามมาโดยตลอดยาวนานหลายปี แต่ก็ยังแอบอ้างแอบประพฤติกันมา ลักษณะเดียวกันกับกฎหมายห้ามขับรถเร็วฉะนั้นการฝ่าฝืนก็มีเป็นปกติ เพราะเด็กในวัยที่กำลังคึกคะนอง แต่เมื่อฝ่าฝืนแล้ว ก็มีการลงทำโทษและดำเนินการโดยทันทีไม่มีการละเว้น ส่วนการปรับปรุงหลักสูตรมีการทำมาโดยตลอดเป็นเรื่องปกติ และหลักสูตรของโรงเรียนเป็นมาตรฐานทั่วไปอยู่แล้ว เพียงครั้งนี้อาจต้องปรับปรุงเรื่องของการตรวจร่างกายให้เข้มงวดมากขึ้น เข้มเรื่องการกำหนดมาตรฐานของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นนักเรีนยมากขึ้น อีกทั้งจะเพ่งเล็งโรคที่อาจไม่ปรากฏมาก่อน ดังนั้นในอนาคต การตรวจคัดกรองต้องกำหนดมาตรฐานที่สูงขึ้น 

อีกทั้งประเด็นพื้นที่ห้ามเดินผ่าน ระบุว่ามีทุกสถาบันเป็นการจำกัดไว้เพื่อให้รู้สิทธิของตัวเอง เพื่อให้ทราบว่าถึงความแตกต่าง เคารพสิทธิของแต่ละชั้น หากมีการฝ่าฝืนก็ต้องมีการลงโทษเพื่อให้เคารพเชื่อฟังคำสั่งกติกา ส่วนกรณีไม่พูดขอบคุณหลังถูกทำโทษแล้วอาจทำให้นักเรียนบังคับบัญ��าโกรธหรือไม่นั้น ระบุว่าการขอบคุณเป็นประเพณีปฏิบัติทุกครั้ง เมื่อผู้บังคับบัญชาหรือนักเรียนบังคับบัญชา อนุญาตให้ทำสิ่งใด ก็ต้องมีคำขอบคุณติดปากเป็นประเพณี เมื่อน้องเมยไม่ปฏิบัติตาม นักเรียนบังคับบัญชาจึงสั่งให้พุ่งหลัง 1-2 นาที ก่อนฟุบลงไป แล้วก็หายใจเร็ว ถี่ แล้วก็มีลักษณะมือจีบ เป็นอาการไฮเปอร์เวนติเลชั่นจึงตามนายทหารเวรในวันน้น แล้วพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ถือว่าการปฏิบัติการดังกล่าวไม่เป็นการทำเกินกำลัง

ท้ายนี้ระบุว่า การที่ไม่ได้เชิญผู้ปกครองมารับฟังการชี้แจงผลสอบ เป็นเพราะการชี้แจงวันนี้ไม่ได้เป็นการตอบโต้ แต่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงและแสดงเอกสารประกอบที่ได้รวบรวมในช่วงระยะเวลา 14 วันที่ทำการค้นหาข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยถือว่าผู้ปกครองและโรงเรียนล้วนเป็นผู้สูญเสียทั้งสิ้น อีกทั้งที่ไม่ได้แจ้งให้ผู้ปกครองมารับฟังในวันนี้เนื่องจากไม่ได้คู่ขัดแย้ง หรือคู่กรณี จึงไม่ต้องการให้มีการตอบโต้กันในเชิงของข้อซักถามหรือเชิงข้อมูลไปมา


รายงานโดย : สุติมา หวันแก้ว