สหรัฐฯเปิดเผยเอกสารลับตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งหมดอายุการเก็บเป็นความลับแล้ว โดยมีเนื้อกาเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ในขณะนั้นเป็นยุคของนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีนายวิลเลียม เพอรี เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ในปี 1994 เกิดเหตุการณืสำคัญคือเกาหลีเหนือพยายามเริ่มต้นการทดลองนิวเคลียร์ ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงกับสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการให้เกาหลีเหนือครอบครองนิวเคลียร์ แต่ความขัดแย้งคลี่คลายลงเมื่อนายจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป้นตัวแทนเดินทางไปยังกรุงเปียงยางเพื่อเจรจากับนายคิมอิลซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ และบรรลุข้อตกลงแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมกับการปลดอาวุธเกาหลีเหนือ ที่ทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีรอดพ้นจากวิกฤตอยู่ได้เกือบ 10 ปี
รายงานดังกล่าวระบุว่าในช่วงเวลานั้น สหรัฐฯได้ประเมินว่าหากทำสงครามกับเกาหลีเหนือจริง จะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน แต่ความสูญเสียในฝั่งสหรัฐฯและเกาหลีใต้ก็จะมหาศาล โดยประเมินว่าใน 3 เดือนแรกของการสู้รบ จะมีทหารอเมริกันเสียชีวิต 52,000 นาย และทหารเกาหลีใต้เสียชีวิต 490,000 นาย โดยไม่มีการประเมินความเสียหายในฝั่งเกาหลีเหนือ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
ทหารอเมริกันในการซ้อมรบทางอากาศร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือถือว่าการซ้อมรบครั้งนี้เป็นการท้าทายเกาหลีเหนือโดยตรง และประกาศว่าสงครามกำลังใกล้เข้ามา เหลือเพียงว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น
นายเพอรี อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่ดำรงตำแหน่งในยุควิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือครั้งแรก กล่าวว่าตั้งแต่ตอนนั้น สหรัฐฯก็มีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ และย้ำมาตลอด เขายืนยันว่าการเจรจายังเป็นสิ่งจำเป็น แม้กระทั่งในตอนนี้ ที่เกาหลีเหนือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว เพราะแม้การเจรจาจะไม่อาจหยุกยั้งเกาหลีเหนือจากการครอบครองนิวเคลียร์ได้ แต่ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ของการเกิดสงคราม
นายเพอรียังประเมินอีกด้วยว่าเกาหลีเหนือจะไม่กล้าโจมตีสหรัฐฯโดยตรง แต่อาจโจมตีเกาหลีใต้ได้หากถูกสหรัฐฯโจมตก่อนด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม และหากสหรัฐฯก่อสงครามนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ จำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้จะมากกว่าในการประเมินเมื่อปี 1994 อย่างเทียบกันไม่ได้ โดยอาจมีผู้เสียชีวิตเทียบเท่ากับในสงครามโลกครั้งที่ 1 คือประมาณ 20 ล้านคน หรือเทียบเท่าสงครามโลกครั้งที่ 2 คือกว่า 60 ล้านคน แม้รัสเซียและจีนจะไม่ได้เข้าร่วมรบด้วยก็ตาม
คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ยืนยันว่าเกาหลีเหนือมีศักยภาพในการโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯทุกพื้นที่อย่างแม่นยำ แม้นักวิเคราะห์จะไม่เชื่อว่าคำกล่าวอ้างนี้เป็นความจริง 100% แต่ก็ยอมรับว่าเกาหลีเหนือกลายเป้นมหาอำนาจนิวเคลียร์เต็มตัวแล้ว หลังการทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นในขณะเดียวกับที่นายเจฟฟรีย์ เฟลท์แมน รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายการเมือง ซึ่งเพิ่งกลับจากการเดินทางเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ กล่าวว่าสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่สุดในการหลีกเลี่ยงสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ คือการเร่งเปิดช่องทางการเจรจา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและกรประเมินสถานการณ์คลาดเคลื่อนจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างเกาหลีเหนือกับประชาคมโลก
ขณะที่นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ก็เปิดเผยว่าเขาได้แจ้งให้นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯทราบแล้วว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือพร้อมเปิดการเจรจาทางตรงกับสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯรับรองว่าจะไม่มีการโจมตีเกาหลีเหนือ และรัสเซียพร้อมที่จะเป็นคนกลางในการจัดการเจรจาคลี่คลายความขัดแย้งด้านนิวเคลียร์ระหว่าง 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีท่าทีใดๆออกมาจากทางการสหรัฐฯต่อข้อเสนอนี้ แต่ก่อนหน้านี้รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าหากจะเข้าสู่การเจรจา เกาหลีเหนือต้องระงับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ก่อนเท่านั้น
เรียบเรียง: พรรณิการ์ วานิช