ไม่พบผลการค้นหา
รัฐบาลแคนาดาเดินหน้าผลักดันออกกฎหมาย ห้ามการบำบัดแก้เพศวิถีทั่วประเทศ ทำตามคำสัญญาที่นายกรัฐมนตรี "จัสติน ทรูโด" ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งปี 2562

ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกเสนอเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยเสนอให้แก้ไขปรับเปลี่ยน 5 ข้อ ในประมวลกฎหมายอาญาของแคนาดาที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดแก้เพศวิถี หากมีการผ่านกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การนำเยาวชนเข้ารับการบำบัดแก้เพศวิถี ไม่ว่าจะเป็นในแคนาดาหรือในต่างประเทศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับกำหนดให้การทำให้บุคคลต้องเข้ารับการบำบัดโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ ไปจนถึงการโฆษณาและหากำไรจากการบำบัดแก้เพศวิถีเป็นความผิดตามกฎหมายเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้พุ่งเป้าเอาผิดไปที่การพูดคุยปรึกษาเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ อย่างเช่นการพูดคุยกับครู ผู้ให้คำปรึกษาในโรงเรียน ผู้นำทางความเชื่อ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต  

‘นายเดวิด ลาเมตติ’ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมแคนาดา ระบุว่า หากร่างกฎหมายนี้ผ่านจะทำให้กฎหมายเกี่ยวกับการบำบัดแก้เพศวิถีของแคนาดามีความก้าวหน้าและครอบคลุมที่สุดในโลก เช่นเดียวกับเป็นการทำตามสัญญาที่พรรคเสรีนิยมของนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด หาเสียงเอาไว้ว่าจะยุติการปฏิบัตินี้ในแคนาดา ขณะที่พรรคประชาธิปไตยใหม่ หรือ NDP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านระบุว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยของพรรคเสรีนิยมผ่านร่างกฎหมายนี้

การบำบัดแก้เพศวิถีคือ การพยายามหาทางเปลี่ยนแปลงเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล นักจิตบำบัดส่วนใหญ่และสมาคมการแพทย์ในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงแคนาดา สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ไปจนถึงองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติ ไม่ให้ความเชื่อถือรวมถึงยังประณามการบำบัดนี้ แต่การบำบัดแก้เพศวิถีต่อกลุ่ม LGBTQ ในหลายรูปแบบก็ยังเกิดขึ้นอยู่ในหลายประเทศ แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่าเป็นการบำบัดอันตรายและไม่เกิดผลก็ตาม โดยเมื่อปี 2561 ชาวแคนาดาหลายพันคนได้เรียกร้องรัฐบาลแบนการบำบัดแก้เพศวิถีทั่วประเทศ แต่รัฐบาลกลางได้ปฏิเสธคำร้องในเวลานั้น 

ทั้งนี้ การบำบัดแก้เพศวิถีถูกห้ามแล้วในบางเมืองของแคนาดา เช่น เมืองแวนคูเวอร์และเมืองคาลการี โดยรัฐออนแทรีโอเป็นรัฐแรกของแคนาดา ที่ประกาศแบนการบำบัดแก้เพศวิถีเมื่อปี 2558 ส่วนหลายรัฐในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสหรัฐอเมริกาที่รวมถึงรัฐแคลิฟอร์เนีย โคโลราโด นิวยอร์กและวอชิงตัน ก็ได้แบนการบำบัดนี้แล้วเช่นกัน  


ที่มา BBC, The Guardian