ไม่พบผลการค้นหา
วอยซ์ รวบรวมข้อวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจในปี 2566 จากหลายสถาบัน อาทิ กระทรวงการคลัง ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย สภาพัฒน์ และ IMF เพื่อสะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง ภายใต้การเมืองที่ระส่ำระสายในปัจจุบัน

แม้ประเทศไทยจะเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยได้เพิ่มขึ้นอีก 1 ก้าว (ยังเหลืออีกหลายก้าว) แต่สำหรับเศรษฐกิจนั้นอาการน่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เพราะรายงานเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook 2023 ของ IMF ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย โดยอีก 5 ปีข้างหน้า GDP จะโตเพียง 3% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี

ฉมาดนัย มากนวล และ ชนม์นิธิศ ไชยสิงห์ทอง สองนักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS  มองว่า สภาวะนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบการเติบโตของประเทศที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีสัดส่วนลดลงตลอดสิบปี ประกอบกับแรงหนุนจากเศรษฐกิจจีนก็ลดลง แถมผลกระทบจากโควิด-19 ก็ฉุดศักยภาพให้ต่ำ ไม่นับรวมปัญหาความขัดแย้งของโลกที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน ทำลายการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพในประเทศต่างๆ

นอกจากนี้ IMF ยังรายงานตัวเลขหนี้ทั่วโลกว่า ไตรมาสแรกของปี 2566 หนี้สินทั่วทั้งโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ระดับ 305 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1 หมื่นล้านล้านบาทแล้ว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นสูง อาจกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ และส่งผลให้ ‘บริษัทซอมบี้’ (Zombie Firms) หรือบริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่อาจสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นด้วย ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐราว 14% ที่เข้าข่ายดังกล่าวแล้ว

GDP ไทยไม่ปัง เมื่อเทียบกับเพื่อนในอาเซียน

หากดูประมาณการเติบโตของ GDP ในอาเซียนจากรายงาน IMF (เมษายน 2566) จะพบว่า

INFO.jpg

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย ระบุว่ายุคเศรษฐกิจโลกชะลอตัวนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่การชะลอตัวเป็นไปในรูปแบบ ‘ไม่มีตัวช่วย’ เหตุเพราะนโยบายการเงินและการคลังถูกล็อกไว้ทุกด้าน

  • เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอ - ดอกเบี้ยขึ้น
  • ยุโรป - เศรษฐกิจจะถดถอยจากวิกฤติพลังงาน
  • จีน - เจอปัญหาหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์

ด้านสภาพัฒน์ฯ แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว ในช่วง 2.7%- 3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ

แต่สภาพัฒน์ฯ ก็ยังเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยเพราะมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของระบบการเงินโลก ภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร และความไม่แน่นอนทางการเมือง

หนี้ครัวเรือนยังน่าห่วง

สภาพัฒน์ฯ ระบุว่าจากข้อมูลในไตรมาส 4 ปี 2565 พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยมีตัวเลขอยู่ที่ 15.09 ล้านล้านบาท  (คิดเป็น 87% ของจีดีพี) พร้อมแสดงความกังวลชัดเจนว่า หนี้ครัวเรือนกำลังจะกลายเป็น ‘ระเบิดลูกใหม่’ ของเศรษฐกิจไทย

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร  กาง Big DATA เกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย (30 เมษายน 2566 )พบว่า จำนวนผู้ที่อยู่ในระบบเครดิตบูโรมีจำนวน 32 ล้านคน กับอีก  4 แสนบริษัท มูลค่าราว 7-8 ล้านล้านบาท  ( 9.8 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่เสีย) ครอบคลุม 126 สถาบันการเงิน

หากดูข้อมูลเครดิตบูโรเกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย จะพบว่า

  •  กลุ่มเจน z (อายุ 20-22 ปี) มียอดหนี้ 1.8 แสนล้านบาท เป็นหนี้เสียแล้ว 1.1 หมื่นล้านบาท
  • กลุ่มเจน X มียอดหนี้ 5.6 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสียแล้ว 3.4 แสนล้านบาท
  • กลุ่มเจน Y กู้ มียอดหนี้ 4.1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสียแล้ว 2.7 แสนล้านบาท
  • กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ มียอดหนี้ 1.3 ล้านล้าน เป็นหนี้เสียแล้ว 9 หมื่นล้าน

วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ภาระหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจ SME ส่วนใหญ่มีหนี้สินอยู่ในช่วง 50,000-100,000 บาท มากที่สุด มีระยะเวลาการกู้ยืมไม่เกิน 3 ปี

ปัจจุบันผู้ประกอบการ SME กำลังเผชิญกับปัญหาด้านการเงินและภาระหนี้สินจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น SME 48.3% ยังสามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา แต่มี 51.7% ที่กำลังมีปัญหาการชำระหนี้ ทั้งจากการชำระผิดเงื่อนไขหรือจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา ซึ่งสัดส่วนที่ผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

เศรษฐกิจหลังโควิด ยังไม่รุ่งอย่างที่คิด

สภาพัฒน์ คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2566 ว่า

  • การส่งออกหดตัวลง 1.9% เป็นการหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอ ตัวของเศรษฐกิจโลก
  • การอุปโภคของรัฐบาลหดตัว 6.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโควิดที่ทำให้การใช้จ่ายลดลงอย่างมาก
  • อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมของภาคอุตสาหกรรมไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ระดับร้อยละ 63.7 ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ ร้อยละ 66.8
  • การลงทุนภาคเอกชนคาดจะขยายตัว 1.9% จากที่ประมาณการไว้ที่ 2.1%
  • หนี้สาธารณะ เดือนมี.ค.2566 รวม10,797,505.5 ล้านบาท คิดเป็น 61.2% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้ภายในประเทศ และเป็นหนี้ต่างประเทศ 175,591 ล้านบาท 
  • หนี้เสียหรือ NPL ของ SMEs ไตรมาสสี่ของปี 2564 ยังอยู่ระดับสูง ที่ 7.4% ถ้าเทียบกับก่อนเกิดโควิด ปี 2562 จะมีแค่ 4.6%
  • การที่หนี้ครัวเรือนสูง จะเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นด้วยของอุปสงค์หรือการใช้จ่ายในประเทศ และความสามารถในการชำระหนี้ภายใต้ดอกเบี้ยที่กำลังขึ้น โดยเฉพาะ SMEs ครัวเรือนรายได้น้อย รวมทั้งลูกหนี้ภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐที่สิ้นสุดลง
  • การท่องเที่ยวที่ฟื้น ก็จะยังไม่เหมือนเดิม ก่อนโควิด ปี 2562 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยประมาณ 11 ล้านคน คาดการณ์ว่า ปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนจะมาไทย 4.25 ล้านคน หรือราว 39% จากปี 2562
  • ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโอกาสเสี่ยง 62% ที่จะเข้าสู่สภาวะแอลนีโย (EL Nino) ในช่วงเดือน พ.ค.-ธ.ค.2566 จะทำให้ไทยมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติ อาจเกิดสภาวะภัยแล้งที่จะกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร
  • พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 คาดการณ์ซ่าจะล่าช้ากว่าปกติไป 2-4 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ และการอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ที่ล่าช้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ไว้ว่า รัฐบาลใหม่ยังต้องเผชิญกับโจทย์อีกหลายด้าน ทั้งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และโครงสร้างประชากรไทย รวมถึงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ ดังนี้

จะเริ่มเห็นการแบ่งแยกขั้วเรื่อง  ‘การย้ายฐานการลงทุน’ ชัดมากขึ้น เช่นที่เห็นบ้างแล้วคือ ห่วงโซ่อุปทานสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ และมีแนวโน้มขยายวงไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต  ซึ่งจะกระทบกลับมายังทิศทางการส่งออกของไทย การเดินหน้าจับคู่ลงทุนและการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ สำหรับไทยยังเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่

โจทย์สังคมสูงอายุและประชากรที่ลดลง จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น ความน่าสนใจของประเทศในฐานะแหล่งลงทุน การเก็บรายได้ของรัฐบาล หรือการรับมือกับโจทย์สังคมสูงอายุ รวมถึงปัญหาของตลาดแรงงานทั้งในมิติความเพียงพอของแรงงาน ความสอดคล้องกันของทักษะแรงงานและความต้องการของตลาด รวมถึงแนวทางการบริหาร จัดการแรงงานข้ามชาติ

การแก้ปัญหาหนี้ ครัวเรือนผ่านการสร้างรายได้สนับสนุนการก่อหนี้สร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อครัวเรือน ปรับโครงสร้างหนี้ ที่ยั่งยืนสำหรับกลุ่มที่มีหนี้อยู่แล้ว รวมถึงการสร้างวินัยการออมที่ต้องผลักดันโจทย์การออมให้กลายเป็นวาระแห่งชาติ

มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ กำลังกลายเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า (ที่ไม่ใช่ภาษี) และจะส่งผลต่อการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการที่เริ่มเตรียมความพร้อม มีเพียงธุรกิจรายใหญ่ ภาครัฐจึงจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวสำหรับกิจการขนาดเล็กลงไป และกิจการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ

อ้างอิง