วันที่ 24 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงเหตุกรณีการประชุมสภาล่มเมื่อวานนี้ ว่าเป็นในเรื่องของความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ระหว่างการลงมติ ร่างพ.ร.บ.การเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกท้องถิ่น ในมาตรา 9/1 และทำให้สมาชิกมีความเข้าใจผิดกันในเรื่องของการตั้งคำถามก่อนลงมติ
เพราะโดยปกติตามที่หลายคนทราบก็คือจะมีการถามว่าเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากหรือไม่ แต่คำถามเมื่อวานจะเป็นอีกลักษณะหนึ่งคือ เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือไม่ เพราะส่วนตัวมองว่า เป็นเนื้อหาส่วนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนคำถามให้เหมาะสมก็คือเห็นด้วยกับการเพิ่มมาตรา 9/1 หรือไม่ ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่อาจไม่ทันได้ฟังว่าเป็นรายละเอียดเนื้อหาที่เกี่ยวกับอะไร
จนท้ายที่สุดก็ได้มีสมาชิกทักท้วงว่าทำให้หลายคนเกิดความเข้าใจผิด จึงสามารถทำให้เกิดการลงมติใหม่ได้ แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเองและได้มีการขอมติจากที่ประชุมด้วย แต่ท้ายที่สุดการลงมติก็ทำให้มีผู้ไม่แสดงตนเป็นจำนวนมาก จึงปิดประชุมไป
พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ทำหน้าที่เกินเลยตามที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง ซึ่งเมื่อวานในมาตราที่เป็นปัญหาก็มีคนของรัฐบาลขอแปรญัตติด้วยเช่นกัน จึงไม่ได้เกี่ยวว่าไม่เป็นกลางหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้และในอดีตก็เคยมีมาแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีการเข้าข้างซีกรัฐบาลแต่อย่างใดเพราะทุกกระบวนการนั้นก็พิจารณาถึงความถูกต้องเป็นหลัก และเป็นธรรมดาที่เมื่อมีการวินิจฉัยอะไรเกิดขึ้นอีกฝ่ายก็ย่อมไม่เห็นด้วยและมักกล่าวหาว่าประธานไม่เป็นกลาง
ส่วนการประชุมโดยภาพรวมนั้น ก็ได้ขอให้สมาชิกทุกคนให้ความสำคัญกับการเข้ามาร่วมประชุมเพราะถือเป็นโค้งสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพราะถือเป็นหน้าที่ทุกฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ แต่แต่ปัจจัยหลักก็คือ การคงเสียงข้างมากในสภาก็ต้องอยู่ที่รัฐบาล เมื่อมีกฎหมายของรัฐบาลเข้าพิจารณาในสภา ส.ส.ซีกรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบในส่วนนี้เป็นหลัก เพราะตามหลักจริงๆแล้วเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะเป็นการเสียหายโดยภาพรวมไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย
ส่วนเรื่องเหตุการณ์สภาล่มจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการยุบสภาหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้เนื่องจากการยุบสภาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
ชวน กล่าวถึงกรณีข้อร้องเรียนให้ตั้งคณะกรรมการสอบล็อบบี้ร้านอาหาร เนื่องจากมีความไม่ชอบมาพากล ว่า ตนไม่ได้ดูแลเรื่องนี้ หลัง วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ 14 ส.ส.เข้าชื่อยื่นคำร้อง ตนก็จะส่งเรื่องฝ่ายประจำ เพราะเรื่องนี้เขาดูแลอยู่
เมื่อถามว่าจะให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบใช่หรือไม่ ชวน ระบุว่า เที่ยวที่แล้ว ก่อนมาเป็นร้านนี้ก็ร้อง มาเที่ยวนี้ก็ร้อง ส่วนได้ให้นโยบายอย่างไร เพราะมีความไม่ชอบมาพากล ชวน ยืนยันว่ามีกรรมการและตนก็ไม่เคยไปยุ่งกับกรรมการ ถือเป็นเรื่องที่กรรมการจะพิจารณา
ส่วนที่ วัชระ ให้สัมภาษณ์โยงไปว่ามีผู้มีอิทธิพลในสภาล็อบบี้ข้าราชการจ่ายเงินจ้าง ส.ส.ค่าชิมอาหาร เพื่อลงคะแนนให้กับร้านหนึ่งร้านใดนั้น ชวน ระบุว่า ไม่ทราบ ตนเองก็ไม่ได้ทาน เพราะว่าตนมีผู้ติดตาม ซึ่งไม่สามารถเข้าห้องอาหารได้ เขาห้ามคนนอกเข้า เดี๋ยว รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ไปร้องอีกว่ามีคนนอกเข้าห้องประชุม ซึ่งตนรับปากว่าจะสอบถามไปยังเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้
ชวน กล่าวถึงกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส. ที่มาดักรอพบ สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ซึ่งเป็นคู่กรณ๊ จนได้ก่อความวุ่นวายที่รัฐสภาเมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาหรือไม่
โดย ชวน ระบุว่า ในช่วงเกิดเหตุตนกำลังควบคุมการประชุมอยู่ที่บัลลังก์ ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และเมื่อเช้าตนได้ทราบจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับเรื่องจาก นายชูวิทย์ เมื่อวานนี้
ชวน ยังย้ำว่า ไม่เป็นไร รัฐสภาพร้อมมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ได้ กรรมาธิการทุกคณะก็พร้อมทำหน้าที่ พร้อมยืนยันปฏิเสธว่าไม่ได้เห็นเหตุวุ่นวายเมื่อวาน แต่เชื่อว่ามาถึงรัฐสภาแล้วก็คงไม่อนุญาตให้ใช้ความรุนแรง