อีกทั้ง ‘บิ๊กป้อม’ กล่าวเชิง ‘สัญญา’ ว่าจะให้เก้าอี้ ‘รัฐมนตรี’ ส.ส.สายปากน้ำ ทำให้มีการมองว่าเป็นการ ‘ตอบแทน’ หรือไม่
ภายในแต่ละขั้วก็จับตาถึงการ ‘ปรับคณะรัฐมนตรี' (ครม.) จะมีส่งท้าย ‘รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ หรือไม่
งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมโดน ‘กระตุกหนวดเสือ’ ซ้ำรอย พล.อ.อนุพงษ์ หรือไม่ ซึ่งในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังนิ่งเรื่องการปรับ ครม.
ในฝั่งบรรดาขั้ว พล.อ.ประวิตร ก็หวังกลับมาผงาดอีกครั้ง หาก พล.อ.ประวิตร ได้นั่ง รองนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย ก็จะทำให้มีอำนาจได้ดูแลงานมากขึ้น ไม่เป็น ‘รัฐมนตรีขาลอย’ เช่นทุกวันนี้
ในระดับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ก็มีการพูดคุยถึงสูตรต่างๆ หากมีการปรับ ครม. ขึ้นมา
ดูเหมือนสัมพันธ์พี่น้อง ‘3ป.’ ยิ่งมี ‘เส้นทาง’ ของตัวเองมากขึ้น เริ่มจากขั้ว พล.อ.ประวิตร ที่ปูทางในส่วนตัวเอง หลัง ‘บิ๊กน้อย’พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เตรียมนำประชุม ‘พรรคพลังชาติไทย’ ที่เคยเป็นพรรคของ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อ ต.ค. 2564 ทำให้ ‘บุญญาพร นาตะธนภัทร’ ภรรยา พล.ต.ทรงกลด ขยับขึ้นเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นหัวหน้าพรรคแทน
ทั้ง พล.อ.วิชญ์ กับ พล.ต.ทรงกลด มีสายสัมพันธ์กันผ่าน ‘เสธ.อ้าย’ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผ่านเนตเวิร์กสนามม้านางเลิ้งเดิม ดังนั้น การเข้าไปของ พล.อ.วิชญ์ จึงเท่ากับว่าเป็นการ ‘เทคโอเวอร์’ เพื่อเขย่าใหม่ ตั้ง กก.บห.ชุดใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนเป็นชื่อ ‘พรรครวมแผ่นดิน’ ที่จะมีการประชุมใหญ่ ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ที่ โรงแรมรามาการ์เด้น
สำหรับ พล.อ.วิชญ์ เคยถูกขั้ว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า บีบพ้นการเป็น ‘หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย’ มาแล้ว ด้วยเหตุผลการบริหารงานที่เห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง ทำให้บรรดา กก.บห.พรรคเศรษฐกิจไทย ลาออกเพื่อให้ พล.อ.วิชญ์ พ้นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.วิชญ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส สะบั้น ด้วย พล.อ.วิชญ์ (ตท.11) เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกับ ‘เสธ.ไอซ์’พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต (ตท.10) ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ ร.อ.ธรรมนัส ให้ความเคารพ
เส้นทางของ ร.อ.ธรรมนัส จึงอิสระ! ประเดิมด้วยการ ‘โหวตคว่ำ’ ในศึกซักฟอก ยกเว้น พล.อ.ประวิตร ที่ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยทุกคนต่างโหวต ‘ไว้วางใจ’ให้
สะท้อนถึงสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ยังมีไมตรีต่อกัน แต่แนวทางของ ร.อ.ธรรมนัส หนักแน่นกว่า พล.อ.วิชญ์ ในจุดยืนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งในฝั่ง พล.อ.วิชญ์ ยังไม่ถึงขั้น ‘ไม่เอา-ล้ม’ เพราะยังมีความเป็น ‘พี่น้องทหาร’ เหมือนกัน ซึ่ง พล.อ.วิชญ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ (ตท.12) เคยเป็นคู่ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. กันมาก่อนด้วย แต่สุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ ก็เลือก พล.อ.ประยุทธ์ สายทหารเสือฯ ร.21 รอ. เหมือนกัน ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ยาว 4 ปี
ทั้งนี้ในฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ขยับเช่นกัน โดยเตรียมเปิดตัว ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่มี ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่ปรึกษานายกฯ เป็นแกนหลัก 3ส.ค.นี้ ที่สโมสรราชพฤกษ์ ถ.แจ้งวัฒนะ ที่เดียวกับที่ นายกฯ เคยนำบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลดินเนอร์กระชับมิตร โดยที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่ย่านอารีย์ใจกลางกรุงเทพฯ สิ่งที่ต้องจับตาคือการเปิดตัวสมาชิกพรรค ที่คาดว่าจะมีอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ กับบรรดาอดีต กปปส. มารวมพลกันที่นี่
สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อน ‘3ป.’ ที่เป็น ‘พี่น้องคนละทาง’ มองผิวเผินอาจเป็นยุทธการ ‘แตกแบงก์’ เพื่อสู้กับการเลือกตั้ง ที่จนถึงวันนี้สูตรเลือกตั้งก็ ‘พลิกไปพลิกมา’ ตามความต้องการของ ‘ผู้มีอำนาจ’
มีการมองไปถึงขั้นว่า ‘ความวุ่นวาย’ เช่นนี้ถูก ‘สร้างสถานการณ์’ ไปสู่เหตุการณ์ ‘สุญญากาศ’ ในการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะมีการพูดถึงการกลับไปใช้ระบบเลือกตั้ง ‘บัตรใบเดียว’ แบบปี 2562 อีกครั้งด้วย แต่ในเวลานี้ก็ปล่อยให้เป็นไป ‘ตามขั้นตอน’ ก่อน
สิ่งที่ต้องจับตาคือชะตากรรม ‘พรรคพลังประชารัฐ’ สุดท้ายจะเหลือแต่ ‘กระดูก’ หรือไม่ เพราะโดนดูดไปพรรคอื่นหรือย้ายหนีกันไป เพราะแบรนด์ ‘3ป.’ ขายไม่ออก และการวัดพลังระหว่างขั้ว ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่ไม่จบง่ายๆ กลายเป็น ‘ทีใครทีมัน’ จึงกลายเป็นสิ่งที่ ‘กล้ำกลืนฝืนทน’ ระหว่างขั้ว ‘2ป.’ ด้วยกันเอง
ที่ผ่านมาฝั่ง พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เคยยืนยันจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงชื่อเดียวหรือไม่ ในฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ คงหวั่นใจเช่นกัน
การเกิดขึ้นของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็น ‘แผนสำรอง’ ของของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการสู้ต่อทางการเมือง เพราะเป็นพรรคสายตรงของตัวเอง ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ก็มีความใกล้ชิดกับ ‘บิ๊ก ด.’ ที่นับถือกันเป็นพี่น้อง และเป็นบุคคลสำคัญ ที่ค้ำเก้าอี้นายกฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ มานาน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อุ่นใจและรอดมาได้หลายสถานการณ์
ทั้งหมดนี้เป็นก้าวย่างพี่น้อง ‘3ป.’ ที่ทำ ‘สงครามตัวแทน’ ขึ้นมา ผ่านขุนพลของตัวเองในการ ‘สร้างรังใหม่’
ท่ามกลางกระแสการคืนชีพ ‘บัตรใบเดียว’ มารองรับ ‘พรรคเหล่านี้’ เป็นภาพสะท้อนพี่น้อง ‘3ป.’ แม้จะคนละทาง แต่ก็หนีกันไม่พ้น ยังต้อง ‘ล่มหัวจมท้าย’ กันต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง