วันที่ 19 ก.พ. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 นั้น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีมาตรการเยียวยาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ว่า ประเทศที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น ใช้ระบบจ่ายเงินตรง จึงถามกลับว่าไทยสมควรหรือไม่ในการใช้จ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตัง บอกว่าเหมือนกับการเล่นเกมชิงโชค หากสมัครแอปพลิเคชั่นเป๋าตังไม่ได้เท่ากับว่าลดโอกาสไปแล้ว รวมไปถึงการลงทะเบียนทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกันเราไม่ทิ้งกัน คนละครึ่ง เราชนะ และม.33 เรารักกัน จนนำมาซึ่งการโกงออนไลน์ที่ปรากฏตามหน้าข่าว
นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเข้าถึงออนไลน์ ที่มีการระบุให้ซื้อโทรศัพท์ใหม่เพื่อให้ได้เงินชดเชย การแก้ไขปัญหาโควิด -19 ก็รณรงค์ให้เว้นระยะห่าง แล้วลงทะเบียนไม่ได้ก็ต้องไปแย่งกันแออัดอยู่ที่ธนาคาร จึงตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทำพิธีให้ลึกล้ำ ไฮเทคโนโลยีอะไรกันนักหนา เหตุใดการค้าออนไลน์ถึงไม่ไฮเทค มองดูแล้วขัดกันไปหมด
มิ่งขวัญ ยังตั้งคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลจึงไม่แจกเงินสดให้กับประชาชนโดยตรง โดยระบุว่าภายในจังหวัด มีทั้งผู้ว่าราชการ นายอำเภอผู้ใหญ่บ้าน อสม. อบต. เขารู้หมดทุกตำบลทุกอำเภอและเหตุใดจึงไม่แจกเงินสดให้เขา เรื่องง่ายกลับทำให้เป็นเรื่องยาก รวมไปถึงเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำ แต่ตนต้องพูดด้วยความหวังดีเตือนไปยังฝ่ายนิติบัญญัติว่ามีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงิน แต่ละ แอปพลิเคชั่น ได้เข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสหรือไม่ การใช้เงินในแอปพลิเคชั่นมีอยู่จริงหรือไม่ นี่คือการทุจริตอีกรูปแบบหนึ่งโดยรัฐบาลเป็นผู้ทำเอง หากทำเช่นนั้นถือว่าใจดำอำมหิต
'นิคม' แฉ ธรรมนัส ออกประกาศเอื้อนายทุน ใช้ที่ สปก.
เวลา 18.20 น. นิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ ธรรมนัฐ พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า รมช.เกษตรฯ ได้ออกประกาศคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน สปก. ปี 2563 ให้มีการใช้ที่ดิน สปก.เพื่อเอื้อนายทุนและพวกพ้อง โดยจากเดิมวัตถุประสงค์ของที่ดิน สปก.นั้น มีไว้ให้เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินอย่างแท้จริง แต่ประเทศดังกล่าว เปิดทางให้สามารถใช้ที่ดินเพื่อสร้างโรงงาน กิจการปั้มน้ำมัน แก๊ส GPR โรงน้ำแข็ง ร้านจำหน่ายรถยนต์ เครื่องกลทางการเกษตร คลินิก สถานพยาบาล ฯลฯ
นิคม กล่าวว่า ที่ดิน สปก.ปัจจุบัน ถูกเปลี่ยนมือไปเรียบร้อยแล้ว นายทุนกว้านซื้อที่ดินจำนวนมาก เมื่อทราบว่าจะมีการออกประกาศของกระทรวงเกษตรฯ การออกประกาศดังกล่าว มองเผินๆ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่หากมองลึกๆ จะเห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อนายทุนและพวกพ้อง ทำให้วันนี้หลายครัวเรือนไม่มีที่ดินทำกิน และไม่มีงานทำ
ชี้ 'ประวิตร' รับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท
นิคม ระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้จัดเงินวันคล้ายวันเกิดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2563 วันคล้ายวันเกิด 75 ปี ของพล.อ.ประวิตร มีการทำผิดกฎหมาย โดยวันนนั้น คฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังไทยรักไทย สมญานาม เจ้าพ่อเหล็กไหล โดยมอบเหล็กไหลให้กับ พล.อ.ประวิตร พฤติกรรมรับทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร จึงขัดกับกกฎหมายตามประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ.2563 ที่ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ นอกเหนือจากการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา รวมทั้งผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2561 ที่ห้ามเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สินอันคำนวณเป็นเงินได้ นอกจากทรัพย์สินที่ได้จากการออกกฎหมาย
นิคม ระบุว่า คฑาเทพ แจ้งราคาเหล็กไหลต่อสำนักงาน ป.ป.ช.มีราคา ตั้งแต่ 700 ล้านบาท 300 ล้านบาท และมีการมอบให้กับผู้ที่นับถือ ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงผู้รับ พฤติการณ์จึงพออนุมานได้ว่า เป็นข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่ยึดถือเจตนาอย่างชัดแจ้งของ คฑาเทพ จึงมีพยานน้ำหนักพร้อมกันว่าราคาเหล็กไหลย่อมมีราคาเกิน 3,000 บาทแน่นอน เรื่องนี้จะได้นำส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงเฉพาะตัวของพล.อ.ประวิตร และ ป.ป.ช.กระทำการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทุจริตต่อหน้าที่ ใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือฝ่าฝืนต่อหน้าที่ และดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป
'ธรรมนัส' ยกยุค 'ชวน' ออกประกาศให้กิจการอื่นหนุนเกษตรกรรมใช้ที่ สปก.
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า เจตนาของกฎหมาย สปก.ระบุ บุคคลที่จะสามารถซื้อและเช่าที่ดินของ สปก. มี 3 ประเภท ประกอบด้วย เกษตรกร บุคคลทั่วไปในการปฏิรูปที่ดิน ส่วนราชการหรือเอกชนที่ไม่แสวงกำไล เพื่อสาธารณะ เพื่อการศึกษา เพื่อชุมชน โดยจะเห็นว่ากฎหมายไม่ได้ให้เฉพาะเกษตรกร ในการใช้ที่ดินดังกล่าว
“ปี 2533 ท่านชวน หลีกภัย ออกประกาศกระทรวงเกษตรฯ อนุญาตให้กิจการอื่นเพื่อการสนับสนุนการเกษตรกรรมใช้ที่ สปก. และที่ผ่านมา ได้มีความพยายามแก้ไขเพิ่มเติมประกาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายละเอียด ให้เกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากได้
ดังนั้น การประกาศครั้งล่าสุด จึงเป็นแนวทางเดียวกับการประกาศในอดีต เพียงแต่ประกาศฉบับใหม่นี้ มีความชัดเจนขึ้นว่า การประเภทใดสามารถใช้ได้ ไม่ให้อยู่ที่ดุลพินิจของคณะกรรมการ สปก.จังหวัด ไม่ได้อยู่ในดุลพินิจของข้าราชการ อันจะเป็นช่องทางของการทุจริต ยืนยันว่า ทำเพื่อช่วยให้เกษตรกร หลุดพ้นกับดักแห่งความยากจน”
'ประวิตร' โต้ไม่เป็นความจริง - พลังไทยรักไทยแจงมอบหินธรรมดา
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเพียงสั้นๆ กรณีรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาทว่า "ผมได้ฟังการอภิปรายของสมาชิกผู้ทรงเกียรติแล้ว ท่านพูดทั้งหมดแล้วไม่เป็นความจริงเลย ขอบคุณครับ" หลังชี้แจงเสร็จ พล.อ.ประวิตรได้เดินออกทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะของ ส.ส.ที่รับฟังการชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร
ด้าน คฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังไทยรักไทย ระบุว่า หินที่มอบให้พล.อ.ประวิตร เป็นแค่หินสีธรรมดา ไม่ใช่เหล็กไหล และการอภิปรายดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความเสียหาย
'พิธา' จัดหนัก 'ประยุทธ์' อ้างสถาบันสร้างรอยร้าว
ต่อมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปญัตติไม่ไว้วางใจในส่วนของพรรคก้าวไกล ว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอื้อนายทุน ทำลายหลักนิติรัฐเพื่อพรรคพวกของตัวเอง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในกองทัพ แม้แต่กางเกงใน ถุงเท้าของทหารเกณฑ์ ก็ยังกิน กินหิน กินดิน ไปจนถึงรถบัสของกองทัพ ไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างที่มีการรับปากประชาชน โดยในปีที่ผ่านมา ยังพบว่าลูกหลานคนไทยเสียชีวิตจากการเกณท์ทหารจำนวนมาก
พิธา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจสร้างโครงการนิคมจะนะ จ.สงขลา ทั้งที่โครงการไม่เกิดประโยชน์ ทำลายวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสมบัติของประเทศและประชาชน มีการเอื้อเจ้าสัวพลังงานรายใหญ่ โดยการสร้างท่าเรือน้ำลึก และลงทุนขนาดใหญ่ รวยเป็นแสนๆล้าน นอกจากนี้ ยังปล่อยให้ทายาทของเครื่องดื่มชูกำลัง หลบหนีคดีขับรถชนตำรวจ
พิธา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ โดยมีการใช้ทหารปฎิบัติการ IO สร้างกองทัพไซเบอร์ โจมตีฝ่ายตรงข้าม และ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสร้างความร้าวฉานให้กับคนในประเทศ โดยปฎิบัติการ IO มี 4 เป้าหมาย 1) อวยกองทัพ 2) อวย พล.อ.ประยุทธ์ 3) เบี่ยงประเด็นกราดยิงโคราช 4) ขยี้อดีตพรรคอนาคตใหม่ โดยในสายตาของ พล.อ.ประยุทธ์ มองว่า ประชาชนไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่ต้องสร้างให้เกิดความแตกแยก เพื่อที่จะได้ปกครองโดยง่าย
พิธา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ บริหารงานด้านเศรษฐกิจแบบเช้าชามเย็นชาม บริหารงานอยู่บนหอคอยงาช้าง ทำให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนช้ากว่าหลายประเทศ ไม่เข้าใจในสถานการณ์
พิธา เริ่มอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวว่า จากนี้จะมีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตรงตามญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
พิธา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันฯกับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน อ้างสถาบันมาเป็นเกราะกำบังความผิดพลาดในความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ ระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติริย์ทรงเป็นประมุข มีหัวใจสำคัญอยู่ 3 ประการคือ ประชาธิปไตยราชอาณาจักร และ รัฐสภา
"ประชาธิปไตย คือการให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องถูกตรวจสอบได้ ราชอาณาจักร เป็นประมุขของรัฐ ที่สืบทอดตามสายโลหิต ตามกฎมณเฑียรบาล และรัฐสภา เพื่อแบ่งแยกอำนาจ"
พิธา กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เข้าใจบทบาทนายกรัฐมนตรีตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัติริย์ทรงเป็นประมุข โดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเกราะป้องกันคุ้มครองตัวเองตลอดมา เช่นปัจจุบันมีการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ดำเนินคดีกับนักศึกษาที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน
โดยปัจจุบันมีการขังผู้ชุมนุมตามมาตรา 112 อย่างไม่มีกำหนด คือ พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และ สมยศ พฤกษาเกษมสุข และหลังจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าประชาชนอีกหลาย 100 คนจะต้องถูกจองจำด้วยกฏหมายดังกล่าวทั้งที่เดิมที พล.อ.ประยุทธ์ ได้อ้างว่าจะไม่ใช้กฎหมายดังกล่าว โดยจะเห็นว่าการใช้กฎหมายลักษณะนี้ จะยิ่งสร้างความแตกร้าวให้กับประชาชนกับสถาบันขึ้นไปอีก
“เราพยายามหาทางออกให้เรื่องนี้โดยตลอด แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าเราอยู่เบื้องหลังการชุมนุมเพื่อล้มล้างสถาบัน ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะไม่ปล่อยให้พูดถึงเรื่องสถาบันไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมว่าน่าจะนำเรื่องสถาบันมาพูดกันในสภา ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยของทุกฝ่าย ให้ทุกพรรคให้ประชาชนทุกกลุ่มมาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลและมีวุฒิภาวะ ซึ่งเป็นหนทางให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงยั่งยืน”
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงว่าประเทศไทยได้รับวัคซีนจากพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งเป็นการพูดโดยไม่มีความระมัดระวัง หากมีความผิดพลาด ถามว่าใครจะรับผิดชอบ นอกจากนี้ เมื่อมีการชุมนุมประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ ก็มักอ้างสถาบัน เช่น กล่าวว่า รัชกาลนี้ ต้องไม่มีม็อบ เป็นต้น
เขา กล่าวว่า ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อมีการชุมนุมต่อต้านพิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
ชี้ทางสองแพร่งจะเลือกประยุทธ์หรือประเทศ
“นายกรัฐมนตรีที่ดีในระบอบนี้ต้องมีบทบาท 1.เป็นทั้งห้ามล้อ ไม่ให้พระราชอำนาจขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2.เป็นทั้งกันชน ไม่ให้มีเรื่องเสื่อมเสียไปถึงสถาบัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พระราชอำนาจจะขยายกระทบต่อรัฐธรรมนูญ ผู้นำฝ่ายบริหาร จะต้องถวายทางเลือกที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ นายกฯ ต้องไม่เอาสถาบันมาพูดอย่างพร่ำเพรื่อ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนให้ตัวเอง จนทำให้ประชาชนตั้งคำถามไปถึงสถาบัน นายกรัฐมนตรีที่ดีต้องสนับสนุนให้สถาบันอยู่เหนือการเมือง แต่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ประชาชนเลือกผู้ที่จะทำให้สถาบันปลอดภัย แต่เมื่อพรรคการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้สนับสนุน แพ้การเลือกตั้ง ก็มีการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งเป็นการส่งผลร้ายต่อสถาบัน”
“ประเทศนี้มาถึงทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกระหว่างประยุทธ์หรือประเทศ ถ้าเราเลือกคุณประยุทธ์ ผมเกรงว่าเราจะไม่มีประเทศหลงเหลือ ถ้าเราเลือกประเทศ คุณประยุทธ์ เป็นสลักแรกที่จะต้องถอดออก ถ้าสภาเราโหวตให้คุณประยุทธ ก็แสดงว่าจิตสำนึกของสภาแห่งนี้ เห็นชอบกับความเร็วร้ายทั้งปวงภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
พิธา กล่าวว่า ถ้าเราเลือก พล.อ.ประยุทธ ก็แสดงว่าเราเห็นด้วยกับการปกครองแบบใหม่ ที่รัฐบาลสามารถอ้างพระกระแสรับสั่งมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสถาบัน ถ้าเราเลือกประเทศจะเท่ากับว่าเราได้ทลายเส้นแบ่งของความพยายามแบ่งคนออกเป็นสองฝ่าย แล้วเราก็จะเห็นว่าปัญหาที่แท้จริงนั้น คืออะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าระหว่างการอภิปราย ไม่มี ส.ส.รัฐบาลลุกขึ้นประท้วง แม้แต่คนเดียว
'ประยุทธ์' แจงปิดท้าย ย้ำจัดการทุจริต
เวลา 21.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมชี้แจงถึงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านที่กล่าวถึงข้าราชการที่ปฏิบัติงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารจะได้วันทวีคูณ ว่า ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหม แต่ทำหน้าที่ในนามของรัฐบาล ในคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณี กสทช.ยังอยู่ในกระบวนการทั้งสิ้น และส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบแล้วเพื่อพิจารณาส่วนของการคัดสรรยังอยู่ในขั้นตอน และรอ กสทช.ใหม่เพื่อที่จะปฏิบัติต่อไป ส่วนการขุดลอกแหล่งน้ำ ในโครงการเล็กๆต่างๆ ที่มีข้อมูลว่าทุจริตตนยืนยันว่า จะให้ดำเนินการตรวจสอบโดยเร็วที่สุด ทุกโครงการหากพบทุจริตก็จะลงโทษตามกฎหมาย ด้านราคาสินค้าได้ปรึกษา จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะทุกอย่างมีกฎกติกาอยู่ ตนก็เป็นห่วงประชาชน
ส่วนค่าใช้จ่ายและรายได้ของประเทศ ที่สมาชิกบางท่านเป็นห่วง ได้มีการเตรียมการไว้ว่าหาก แผนงานโครงการ และงบประมาณที่ได้รับมาในปี 2564 หากไม่สามารถจัดหามาชดเชยได้ หรืองบฯ ที่เตรียมไว้ไม่เพียงพอ จะพิจารณาตัดโครงการต่างๆ ที่ไม่สำคัญออกอีกระยะหนึ่ง จึงเป็นการบริหารการเงินการคลังของรัฐบาล ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เราจะยืนยันใช้โครงการมากเท่าเดิมไม่ได้
ส่วนที่สมาชิกนำจีดีพีคนรวยและคนจนมากล่าว นายกรัฐมนตรีย้ำว่าแยกอย่างนั้นไม่ได้ จีดีพี มีอยู่อย่างเดียว เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ หาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไปเพราะเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ไม่มีที่ไหนเขาทำกันแบบนั้น ที่มาวิเคราะห์กันเอง และที่สมาชิกนำข้อมูลมาเสนอ แต่ตนยืนยันว่า ที่ฝ่ายค้านเสนอมานั้นรัฐบาลมีข้อมูลทั้งหมด
ขอโทษเคยพูดเซลล์สมองผิด
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวขอโทษ ที่ตนเคยกล่าวว่า สมองมี 84,000 เซลล์ ตนพูดตกไป พูดพรวดๆรีบๆต้องขอโทษ ที่ความจริงมีประมาณ 84,000 - 100,000 ล้านเซลล์ ตนก็คงมีสมองไม่น้อยไปกว่าท่าน ตนพูดผิดบ้างต้องขออภัย
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจ ตนเข้าใจความห่วงใยของสมาชิกในสภาฯนี้ดี โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจโควิดขณะนี้ที่จะยังคงอยู่กับเราไปในระยะหนึ่ง ตนนึกถึงประชาชนทุกวัน เป็นห่วง มาตรการต่างๆจะทยอยออกมาตามลำดับ ไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าตนดูแลเฉพาะเจ้าสัว เพราะในผู้ประกอบการ ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือลูกจ้างพนักงานด้วย เพราะไม่ถูกลดการจ้างงาน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังระบุอีกว่า อยากให้ทราบ ว่าก่อนที่ตนเข้ามาในปี 2557 นั้น จีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 1 มีวิกฤตในประเทศรอบด้าน ตัวเลขก็มีการเติบโตมาตามลำดับ จาก 3.1 ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างประเทศ ทุกประเทศประสบปัญหาไปพร้อมกัน และในปี 2562 เหลือเพียง 2.4% ปี 2563 ติดลบ 6% พร้อมกับย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้ต่ำที่สุดในอาเซียน ที่ตนต้องย้อนไปในอดีตไม่อยากโทษใคร หรือว่าใคร แต่อยากให้ทราบว่าทุกคนต้องการมุ่งหวังให้ประเทศเดินหน้า แต่ต้องกลับมาดูข้างหลังเราด้วย ว่ามีความพร้อมอย่างไรเกิดอะไรขึ้นมาในอดีต
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียอมรับว่า บางโครงการที่ทำแล้วดีก็ยินดีจะสานต่อ นโยบายจากรัฐบาล แต่จะต้องพัฒนาให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากขึ้น ผังโครงการหลักประกันสุขภาพ
ส่วนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ยอมรับว่า เราขึ้นแบบก้าวกระโดดไปนิด แต่เมื่อทำไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ทำให้ต้นทุนทางการผลิตอุตสาหกรรมสูงทันทีในเวลาอันสั้น โรงงานปรับตัวไม่ทัน ดังนั้นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้นก็จะย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าไทย ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้
ส่วนปัญหาการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องการทุจริตใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ก็ให้ไปสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม
ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รถไฟรางคู่ และการบริหารแหล่งน้ำด้านการเกษตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีโครงการใหม่ๆเข้ามาแต่โครงการเดิมที่มีปัญหาก็จะแก้ไข ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับไปตรวจสอบ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์เพราะเป็นเงินของรัฐบาล เราจะขึ้นจะรีบไม่ได้ ใครที่รับโครงการก็จะต้องรับผิดชอบไปด้วย ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าที่บอกว่าตนเองสร้างเป็นความจำเป็น ทุกอย่างอยู่ในแผนแม่บทของการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่แล้ว ของคณะกรรมการขนส่ง เชื่อมโยงตะวันตก ตะวันออก เหนือ และใต้
ย้ำมีทุจริตแต่ตรวจสอบแน่นอน
โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า เมื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อม คนพร้อมรายงานพร้อม กฎกติกาสิทธิประโยชน์ที่เพียงพอต่างชาติก็จะเข้ามาลงทุน และยืนยันว่าตนไม่ต้องการให้เขา ครอบครองประเทศไทย หากตนยังดำรงตำแหน่ง จะดำรงฐานะในการสร้างสมดุลให้กับประเทศ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใด จะมาลงทุนก็เรื่องของเขา ยืนยันไม่ได้เชียร์ขอแน่นอน ในทุกๆเรื่อง เราอย่าเอาตัวเราไปขัดแย้งกับคนอื่นเขา ขณะนี้ระวังตัวเอง และสถานะของประเทศเราดีอยู่แล้วในเวทีต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ระบุถึง กรณีการทุจริตโครงการเยียวยาต่างๆของรัฐบาล เรื่องของการทุจริตอย่างไรก็มีการทุจริต แต่ตรวจสอบได้แน่นอน วันนี้เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีแล้วหลายราย ก็คงไม่ใช่ใครหรอก คนฉลาดฉลาดนี่แหละ บางคนก็อาจจะเป็นเลยดีกว่า 200 - 300 ราย ขอประชาชนอย่าไปเชื่อเขา เงินของเรา ที่ได้ไปก็ไม่มากอยู่แล้ว ยังจะไปเสียหัวคิวให้เขาอีก และอันตรายในเรื่องข้อกฎหมาย
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่าขอบคุณ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกคน ก็ขอขอบคุณในคำแนะนำ และจะรับไป ปฏิบัติแก้ไข ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน อะไรที่ไม่ชัดเจนทุจริต ก็จะเร่งดำเนินการแก้ไข สู่กระบวนการยุติธรรม
'ชลน่าน' ปิดท้ายฝ่ายค้าน ซัด 3 ป. - ชี้ 'จุรินทร์' เข้าไอซียูยอมรับทุจริตถุงมือยาง
เวลา 21.30 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปปิดท้ายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า แนวทางการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นได้เน้นไปที่การบริหารผิดพลาด บกพร่องล้มเหลว การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ยึดมั่นในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้ง รัฐธรรมนูญวางกลไกสืบทอดอำนาจของนายกฯ และฝ่ายการเมืองถูกวางโครงสร้างเพื่อสืบทอดอำนาจ จากรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่มีมาตรา 44 อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือระบอบเผด็จการ มีการใช้มาตรา 44 พร่ำเพรื่อตามอำนาจใจ มีการใช้ปิดเหมืองทองอัครา อีกทั้งทำลายล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตย มีกระบวนการสมคบคิดแบ่งแยกหน้าที่กันทำเพื่อครองอำนาจผ่านกระบวนการ 3 ป.
นพ.ชลน่าน ระบุว่า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ นั้นที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากการตอบชี้แจงเรื่องทุจริตถุงมือยาง ผู้อภิปรายได้อภิปรายสิ่งที่กล่าวหาหลักฐานที่มาแสดง ประเด็นที่ จุรินทร์ตอบและอยู่ในไอซียู เพราะยอมรับว่ามีการทุจริต และพูดว่าอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผอ.อคส. และบอกว่าตนจะจัดการให้ถึงที่สุดในเรื่องความผิด โดยท่านยอมรับว่ามีการทุจริตจริง อีกทั้ง ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าผู้ทุจริตใกล้ชิดกับ จุรินทร์ แต่ จุรินทร์ไม่ชี้แจงเพียงแต่มีคำตอบย้อนแย้ง และบอกเพียงว่าเป็นเพียงไปรษณีย์ไม่มีอำนาจแต่งตั้ง ผอ.อคส. เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เพียงกำกับดูแล ดังนั้นต้องลงมติไม่ไว้วางใจ
นพ.ชลน่าน ระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประเด็นทุจริต ของ อผศ. แต่ พล.อ.ประวิตรตอบเพียงว่าไม่รู้ ขณะที่ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ มีการแก้ไขระเบียบแต่งตั้งเลขาธิการ สกสค. มีการจงใจกระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. บุคคลตำแหน่งระดับสูงของกระทรวง ห้ามดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรรัฐวิสาหกิจที่รัฐกำกับดูแลภายใน 2 ปี ซึ่ง ณัฏฐพล ชี้แจงไม่ได้
นพ.ชลน่าน ระบุว่า กรณีวัคซีนโควิด-19 ทางรอดของคนไทยจะฉีดได้เพียง 2 ยี่ห้อเท่านั้น กลไกการบริหารจัดการวัคซีนของไทยนั้นตกขบวนกับยี่ห้ออื่น โดยเฉพาะวัคซีนโคแวกซ์ที่เพื่อนบ้านได้ฉีดกัน ส่วนเรื่องการจัดซื้อเครื่องแต่งกายในกองทัพบก ทางรัฐบาลชี้แจงข้อกล่าวหาไม่ได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบ
ส่วนการแต่งตั้งนายตำรวจมีการข้ามรุ่น และมีการบอกว่ามีการถือตั๋วด้วยตัวเอง ถ้าใครมีตั๋วก็ผ่าน สิ่งเหล่านี้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินที่บ่อนเซาะทำลายประเทศชาติ ทำให้ประชาชนมีความลำบาก ประเทศชาติมีแต่หายนะ
หวังเสียงไม่ไว้วางใจเปลี่ยนนายกฯ - แม้ไว้วางใจแต่จะบีบให้นายกฯ ปรับ ครม.
นพ.ชลน่านระบุว่า พรุ่งนี้ (20 ก.พ.) มุ่งหวังสูงสุด คือ ยกมือไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทุกคนจะได้มีนายกฯ คนใหม่ รัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อเลือกนายกฯ คนใหม่ในรัฐสภา นายกฯ คนใหม่จะไปเลือกรัฐมนตรีชุดใหม่มาทำหน้าที่ต่อ เวลา 1 วันที่ไปดูใจ ดูสมอง ดูครอบครัวท่านนั้น
"เวลาอาจน้อยไปใน 1 วัน เสียงจะออกมาไว้วางใจ ผมเชื่อมั่นความไว้วางใจจะมีนัยคือการปรับ ครม. จะมีรัฐมนตรีหลายคน แม้จะผ่านไว้วางใจ จะผ่านเพียงผ่านเท่านั้น เกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ที่มีอยู่ 487 คน หรือมากกว่า 244 เสียง แต่จะเป็นคะแนนบีบให้ พล.อ.ประยุทธ์ สิ่งที่ฝ่ายค้านที่จะให้ท่านปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อบ้านเมือง" นพ.ชลน่าน ระบุ
นพ.ชลน่าน ระบุทิ้งท้ายว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่อาจไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ไม่อาจไม่ไว้วางใจอีก 9 รัฐมนตรี ขอร้องเพื่อนสมาชิกขอเสียงมาเปลี่ยนแปลงมาช่วยลงคะแนนไม่ไว้วางใจ
ประธานสภาฯ นัดโหวตไม่ไว้วางใจ 20 ก.พ.
เวลา 23.15 น. ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงว่า เมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจสิ้นสุดลง ให้การลงมติไม่ไว้วางใจไม่ให้กระทำในวันที่มีการอภิปรายสิ้นสุดลง โดยการลงมตินั้น ขอนัดหมายการลงมติในวันที่ 20 ก.พ. 2564 เวลา 10.30 น. ตนขอขอบคุณ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน รัฐบาล คณะรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทุกคน สื่อมวลชน ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ตนขอปิดประชุม
นายกฯ อารมณ์ดี เคารพ ส.ส.ลงมติ บอกสื่อรักทุกคน
ภายหลังการประชุมสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุถึงภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 4 วัน ว่า ก็ดี ไม่มีอะไร ส่วนมีการตรวจสอบเสียงและมั่นใจในการลงมติของพรรคร่วมรัฐบาลในวันพรุ่งนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า แล้วแต่สมาชิกโหวตให้ ต้องเคารพมติของเขา
ถามว่า ประเมินตัวเองอย่างไร นายกรัฐมนตรี ถามกลับสื่อมวลชน ว่า "ขอให้ประเมินอารมณ์ผมดีกว่า ซึ่งผมอารมณ์ดีทุกวัน และมองว่าที่ผ่านมาตนก็ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น คนเราก็ต้องปรับตัวกันบ้าง"
โดยก่อนเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรีได้หันกลับมาพูดกับสื่อมวลชนว่า "ขอให้กลับบ้านโดยปลอดภัยนะลูก อย่างอารมณ์ดี ซึ่งก่อนขึ้นรถได้หันกลับมาโบกมือทักทายสื่อมวลชน บอกว่า "บ๊ายบาย รักทุกคนนะจ๊ะ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง